วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

คิดบำเพ็ญ... ยังไม่สาย

พระโอวาทองค์อมตะพฤฒาชันษาเจ้าแห่งทักษิณาลัย

             ยุคนี้เป็นยุคสุดท้าย  ขอจงฝึกหัดปล่อยวางความยึดติดกับวัตถุภายนอก  ยึดติดกับเรื่องราวต่างๆ ยึดติดกับเงินทอง...
             เพราะหากเรายังยึดติดกับสิ่งเหล่านี้  ยุคปลายท้ายแล้ว ค้นหาญาณแท้เดิม ปล่อยวาง..ปล่อยวาง
             หากเราไม่เร่งบำเพ็ญในชาตินี้  เมื่อละกายสังขารไปจะนั่งเสียใจภายหลังก็สายเกิน...
             คิดบำเพ็ญตั้งแต่วินาทีนี้  เวลาเหลือเพียงอีกน้อยนิด...
             ช่วงเวลาเพียง 40 , 50 ปีนั้น  เราลองคิดดูว่าเราได้สร้างบาปกรรมมาเท่าไหร่แล้ว...  วันนี้ วินาทีนี้  นับจากนี้ไปเร่งสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง..
             หากเราไม่เร่งสร้างบุญสร้างกุศล  เมื่อจากไปจิตญาณของเราก็จะลำบาก เพราะว่าเมื่อเราจากไปแล้วเราไม่สามารถเอาอะไรกลับไปได้นอกจาก  กรรมที่เรามี  บุญกุศลที่เราสร้าง...



เจ้าทั้งหลายต่างกลัวนรก
แต่เจ้ารู้ไหมว่า
หนทางแห่งชีวิตที่ผ่านมา
ได้ปูทางของนรกแล้วครึ่งชีวิต !


พระพุทธจี้กง

วันลาโลก ของอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่


             แม้บัญชาสวรรค์จะให้พระองค์มีชีวิตอยู่ได้เพียง 33 ปี  พระองค์ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย  สิ่งที่พระองค์เสียใจที่สุดก็คือ  พระองค์ได้เห็นสัจธรรมแท้จริงของโลกแค่เพียงนาทีสุดท้ายก่อนสิ้นลม


              อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่  ภายหลังจากที่ได้เข้าครอบครองอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย  ในระหว่างเดินทางกลับพระองค์ทรงล้มป่วยลง  และต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานนับเดือน
               เมื่อความตายกำลังใกล้เข้ามา  อเล็กซานเดอร์ทรงรำพึงกับตนเองว่า.. "ไม่ว่าชัยชนะที่ได้มามากมายเท่าไหร่  หรือกองทัพอันเกรียงไกรแค่ไหน  แม้แต่ดาบอันคมกริบหรือสมบัติมากมายที่มีอยู่หาได้มีประโยชน์อันใดไม่..."
               พระองค์เรียกแม่ทัพทั้งหลายเข้ามาเพื่อรับสั่ง...
               "ข้าคงจะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้า  แต่ข้ามีความประสงค์อยู่สามประการที่ต้องดำเนินการให้สำเร็จ  อย่าขาดแม้แต่สิ่งเดียว"   ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของพระองค์  แม่ทัพทุกคนเห็นพ้องกันที่จะยึดถือและทำให้สำเร็จตามพระประสงค์นั้น...
               "ความประสงค์ข้อแรกของข้าก็คือ : ...
               ให้แพทย์ที่เป็นผู้รักษาข้าเป็นผู้แบกหีบศพของข้า...
                ประการที่สอง : .....
                ระหว่างทางที่นำหีบศพของข้าไปฝัง  ให้โปรยเงินทองและเพชรนิลจินดาที่ข้าสะสมไว้ในท้องพระคลัง...
                ประการสุดท้าย : ...
                ปล่อยมือทั้งสองข้างของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ
                บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายที่ได้รับฟังพระบัญชาต่างสงสัย กับพระประสงค์สามประการของพระองค์  แต่ไม่มีใครกล้าถาม..
                แม่ทัพคนโปรดของพระองค์ทรงจุมพิตมือของพระองค์แล้วนำไปประทับที่หน้าอก  กล่าวว่า..."มหาราชของข้า  พระประสงค์ของพระองค์จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน  แต่บอกข้าหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพระองค์จึงมีพระประสงค์เช่นนั้น.."
                ถึงตอนนี้อเล็กซานเดอร์ได้ถอนหายใจลึกๆ และกล่าวว่า...
                "ข้าอยากให้โลกได้รับรู้บทเรียนของข้าสามประการ...
                ข้าให้แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้แบกหีบศพ  เพื่อให้ผู้คนรู้ว่า ไม่มีแพทย์คนไหนที่จะรักษาโรคให้หายขาดไปได้  แพทย์เหล่านั้นเขาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ที่จะหยุดยั้งความตาย หรือยื้อชีวิตจากความตายได้ฉะนั้น  ขออย่ายื้อชีวิตใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย...
                ข้าอยากให้โปรยเพชรนิลจินดาในระหว่างทางที่ไปยังสุสานของข้า  เพื่อบอกผู้คนทั้งหลายให้รู้ว่า แม้นเพียงเสี้ยวของสิ่งมีค่าเหล่านี้  ข้าก็ยังนำไปด้วยไม่ได้... ประชาชนจะได้ตระหนักว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะสะสมความมั่งคั่ง...
                 และความประสงค์ข้อสุดท้ายที่ขอให้นำมือทั้งสองข้างของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ  เพื่อให้ผู้คนรู้ไว้ว่า  ข้ามามือเปล่าและข้าก็จากโลกนี้ไปด้วยมือเปล่า !...
                 สุดท้ายในคำกล่าวของอเล็กซานเดอร์...
                 "ขอให้ฝังศพข้า  ไม่ต้องสร้างอนุสาวรีย์ใดๆ  ปล่อยให้มือของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ  เพื่อที่โลกจะได้รู้ว่าบุคคลผู้ซึ่งเอาชนะมาแล้วทั้งโลก  สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรติดมือไปแม้แต่น้อย !.."
              
              

เริ่มต้นใหม่..ยังมีโอกาสเสมอ

พระโอวาทพระทธจี้กง


           เราลองมองดู  มีภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย...
           เรากลัวไหม ?..(กลัว)  กลัวอะไร ?...
           กลัวว่าวันหนึ่งภัยพิบัติมาถึงเรา เราต้องตายก่อน !...
           ถามว่า...มีคนพูดว่าเดี๋ยวภัยพิบัติจะเกิด  เดี๋ยวโลกจะแตก เดี๋ยวประเทศนั้นน้ำท่วม เดี๋ยวประเทศนี้ไฟไหม้ แผ่นดินไหว...
           เราเคยได้ยินข่าว เวลาเราดูข่าว เวลาเราได้ยินคนอื่นพูดถึงเรารู้สึกหวาดกลัว ที่เรากลัว กลัวอะไร
           (เมื่อเวลานั้นมาถึง  ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม)
           เพราะว่าเรายังตั้งตัวไม่ทัน ใช่ไหม  ที่เรากลัวเพราะเรากลัวว่าเวลาที่เหลือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต  ยังไม่รู้เลยว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร  ยังไม่ได้รับคำตอบให้กับชีวิตตัวเราเอง...
           กลัวว่าสิ่งนั้นมาถึง ชีวิตเราก็จบสิ้นก่อน ใช่ไหม ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้ว...
           ภัยพิบัติข้างนอกใช่ว่าจะจบลง แต่กำลังเกิดขึ้นทุกวินาที...
           และตอนนี้พระอาจารย์มาเตือนเราว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรากลัวว่าเราจะไม่สามารถปฏิบัติบำเพ็ญธรรมได้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นก่อน สิ่งที่เรากลัวอาจเป็นจริงก็ได้ !...
           เพราะเราชะล่าใจกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
           เราประมาทกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
           เราผลัดวันกับภัยพิบัติตัวเองมากเกินไป...
           ไม่แน่สิ่งที่เรากลัวอาจจะเป็นจริงก็ได้  เพราะภัยพิบัติไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไรเลย  นอกจากกรรมร่วมของมนุษย์...
           ใต้พิภพนี้มีมนุษย์ทั้งหมดเท่าไหร่ เรารู้ไหม ?...
            และหนึ่งคนก็มีกรรมมีชะตาเป็นของตัวเอง  จากหนึ่งคน สองคน สามคนอยู่ร่วมกัน กรรมนั้นจะยิ่งใหญ๋ขนาดไหน...
            น่ากลัวไหม ?...
            ถ้าเอากรรมของมนุษย์มารวมกันล่ะ  และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ต่างจากกรรมร่วมของมนุษย์ที่เป็นผู้สร้างขึ้น...
            ใครตอบได้ 100%  ไหมว่าเราไม่มีกรรมร่วมเลย  ตอบได้ไหม ? (ไม่ได้)  นับดูจำนวนคนแค่ไม่กี่คน ก่อขึ้นมาก็ยิ่งใหญ่...
            เพราะฉะนั้น วันนี้จึงอยากบอกเราว่า  สิ่งที่เราอยากจะทำทั้งสิ่งที่เราอยากจะเริ่มต้นใหม่  เราอย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป  ไม่มีใครช่วยเราได้...
            มัวแต่บอกว่าทำงานก่อน  มีลูกมีครอบครัวก่อนค่อยมาบำเพ็ญ ใครจะรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่  ใครจะตอบได้ เราจะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี 70 ปี
             เพราะฉะนั้น  ตอนนี้เวลาที่เรามีอยู่จึงสำคัญมาก ขอให้เราคิดและพิจารณาให้ดีว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนต่อจากนี้ไป...
            เราจะมัวแต่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำ เดี๋ยวค่อยบำเพ็ญ ไม่รู้เมื่อไหร่ธรรมะนี้จะมีโอกาสให้เราได้บำเพ็ญอีก  แล้วจะมาเสียใจภายหลังคงไม่มีใครช่วยเราได้...
            ถ้าหากพระอาจารย์ปล่อยวางแทนเราได้  พระอาจารย์จะรีบทำทันที  แต่พระอาจารย์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  เราต้องทำเอง เราต้องบำเพ็ญเอง  เราต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ ?...
            ทุกสิ่งทุกย่างเราเลือกเอง เราก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญเอง...
            เพราะฉะนั้น  เวลานี้ภัยพิบัติต่างๆ  เกิดขึ้นมากมาย  เราจะอยู่ถึงเมื่อไรก็ไม่รู้   พระอาจารย์จึงอยากเตือนย้ำให้เรากระตือรือร้นกับใจของเราอีกสักนิดหนึ่งว่ายุคนี้ยุคสุดท้ายจะมีเวลาให้เราบำเพ็ญถึงอีกเมื่อไรก็ไม่รู้...
            ลมหายใจนี้จะสามารถถ่ายทอดออกไปแล้วก็กลับมาดำรงชีวิตของเราได้ถึงพรุ่งนี้   เราก็ยังไม่แน่ใจ และสิ่งที่เราสามารถทำได้ ในขณะนี้ก็คือ   สามารถขัดเกลาใจตัวเรา  เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด..
             ชีวิตของเรายังเหลืออะไรที่เราต้องทำอีก  สิ่งต่างๆ ภายนอกนั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริม  นั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราเกิดมาบนโลกมนุษย์  นั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริมให้เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้เท่านั้นเอง...
             แต่มนุษย์กลับทุ่มแทให้กับสิ่งเหล่านั้นมากเกิน  จนไม่สามารถที่จะจดจำโลกภายในของตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ ลืมไปว่า...
             แท้จริงแล้วจิตเดิมแท้ของเราอยู่ที่ไหน ?...
             จิตเดิมแท้ของเราเป็นใครมาจากไหน ?...
             เราไม่เคยถามตัวเองจริงๆ  เราไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ  ใช่หรือไม่  แต่ตอนนี้เรารู้หรือยัง ?...
             ขอให้เราย้ำเตือนกับตัวเองว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้าย  อยากจะทำอะไรก็ขอให้รีบทำ  และที่สำคัญอย่าประมาทกับชีวิตของตัวเราเอง   เริ่มต้นใหม่ยังมีโอกาสเสมอ  แต่ว่าถ้าหากสายเกินไปกลับมาก็คงไม่ทันแล้ว...

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

สิ่งผิดพลาด...แก้ไขเสียใหม่

พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม


           เราอาจจะรู้สึกว่าเรายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ !...
           เรายังมีบางอย่างที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์  จะให้เราตัดใจในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
           แต่ท่านอย่าลืมว่า  อนิจจังเกิดขึ้นกับทุกๆคน สิ่งที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดกับตน นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด...
           ท่านอาจจะวาดอนาคตกันไว้สักสิบปียี่สิบปี  เราถึงจะมีใจบำเพ็ญธรรม เมื่อโอกาสนั้นมาเราจะตั้งใจบำเพ็ญธรรม...
           แต่ขอถามว่า  สิบปียี่สิบปีจะมีแน่นอนหรือเปล่า ?..
           ชีวิตท่านยังจะมีลมหายใจอยู่จริงหรือเปล่า ?...
           โอกาสที่ท่านจะได้บำเพ็ญยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
           การกระทำความดีสร้างบุญกุศล  ชำระในหนี้บาปเวรกรรมยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
           อาจจะตั้งใจอยากจะทำบุญ อยากจะบำเพ็ญธรรมเพื่อพ่อแม่ เพื่อพี่น้อง ความตั้งใจดีๆ ถ้าหากท่านไม่รีบลุกขึ้นมาทำ รอแต่ให้ทุกอย่างพร้อมก่อนถึงยอมสละออกมาได้  เราคิดว่าโอกาสอย่างนั้นจะมาถึงหรือเปล่า ?...
          กายสังขารจะสมบูรณ์อย่างนี้หรือเปล่า ?...
          เราอย่าลืมว่าทุกคนที่เกิดมาล้วนมีเจ้ากรรมนายเวรการที่เขาจะมาทวงหนี้เอากับพวกท่านเขาบอกเราล่วงหน้าหรือเปล่า ?...
          แล้วเรายังจะใจเย็นอยู่อย่างนี้ได้หรือเปล่า ?...
          ตอนนี้เรื่องอะไรที่ควรสละได้ที่ควรเลิกละได้ พวกท่านควรกระทำก่อนหรือเปล่า ?...
          แล้วอะไรที่เราควรจะเริ่มต้นทำขึ้นมาก่อน  อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด อะไรที่เราทำได้ง่าย แล้วอะไรที่เราขาดไม่ได้ ?...
          เราพอตอบได้หรือเปล่า ?..
          เรากระทำกันอยู่ทุกวันหยุดไม่ได้แม้สักมื้อเดียว...(กินเนื้อสัตว์) เราไม่ได้ชดใช้กรรมเก่า  เราก็อย่าได้สร้างในกรรมใหม่...
          ในการกินของพวกท่านลดละได้ในหนี้ชีวิตของคนอื่นก็เป็นการไม่สร้างกรรมใหม่...
          แต่หากวัน ๆ เอาแต่กินชีวิตคนอื่น  หนี้เก่าไม่ชดใช้ หนี้ใหม่ก็สร้างขึ้นมา  แล้วเมื่อไหร่ท่านจะหลุดพ้นได้จริงๆ แล้วเมื่อไหร่ท่านจะมีบุญกุศล  เราหวังแต่บุญไม่อยากได้บาป  แต่สิ่งที่เราทำสอดคล้องกันหรือเปล่า เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรื่องที่ทำอยู่ทุกวัน ปรับเปลี่ยนได้หรือเปล่า ?...
          เมธีทุกท่านสิ่งที่เราเตือน สิ่งที่เราแนะนำไม่ใช่เป็นเรื่องยากหากอยากตัดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ก็ขอให้ตั้งใจทำ...
          การทำร้ายเขาทั้งชีวิต ทุบหัวเขา ตัดขาเขา ควักไส้เขา ทรมานหรือเปล่า ถ้าเป็นเรา เราจะยอมหรือเปล่า ?...
          หากเมธียังไม่ยอม แล้วพวกเขาจะยอมหรือเปล่า ความแค้นฝังลึก หากเราทำเขาย่อมจดจำได้ตลอด    ทวงหนี้ไม่มีผิดเพี้ยน มีแต่เพิ่มไม่มีลด...
          หวังว่าเราจะไม่เพิ่มหนี้กรรมให้กับตนเอง หากเราอยากจะบำเพ็ญจุดเริ่มต้นคือ "การกินเจ"...          
          หากทำได้เขาก็จะไม่ขัดขวางท่าน เขากลับจะส่งเสริมท่าน...
          เราอยากให้เจ้ากรรมนายเวรส่งเสริมเราบำเพ็ญธรรมหรือ ขัดขวางไม่ให้เราบำเพ็ญธรรม ทุกอย่างอยู่ท่านเลือกเอง ให้เขาส่งเสริม  เขาก็จะรอเอาบุญกุศลกับพวกท่าน  แต่ถ้าท่านจะให้เขาขัดขวาง เขาก็คงจะเอาชีวิตของพวกท่านไป..
          โอกาศอย่างนี้มันอยู่ใกล้ๆ  ตัวท่านเอง  เราอยากจะมีลมหายใจต่อไปเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล หรืออยากจะมีลมหายใจเพื่อให้เขามาทวงหนี้  ไม่รู้ว่าวันใด มาแบบไม่รู้ตัว...
           สิ่งที่เรายึดติด สิ่งที่เรารัก เราก็ไม่ทันได้เอาไป ยังไม่ทันได้สั่งเสียเขาก็พรากเอาของเราไปแล้ว  สิ่งที่สะสมมาทั้งชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว !...
            หวังว่าเราอย่ารอให้เป็นอย่างนั้น  เรามีสติในการดำรงชีวิตค่อยๆ ละ ค่อยๆ เลิก  เพราะความตั้งใจของเรา ดีกว่าโดนฉุดดึงไปโดยไม่รู้ตัว...
            หวังว่าเราจะยอมเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พลาดที่ผิดไปแล้วเราขอขมาสำนึกแก้ไขเสียใหม่อย่าปล่อยเลยตามเลย...

แปรวิกฤติ..เป็นโอกาส

พระโอวาทพระพุทธจี้กง


           ทุกๆคนมีเคราะห์ภัยซึ่งเกิดจาก "กรรม"
           กรรมคือการกระทำ ถ้าทำดีก็เป็นคนที่มีเคราะห์ดี ทำไม่ดีก็เป็นคนที่เคราะห์ร้าย...
           ศิษย์อยากเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดี ?... (เคราะห์ดี) แล้วเราส่งเคราะห์ดีให้ผู้อื่นหรือยัง ?...
           เราต้องขยันส่งเคราะห์ดีไปให้ผู้อื่นถึงจะได้รับผลดีตอบ
           ถ้าเราเปิดไฟให้คนอื่น เราก็สว่าง ถ้าเราไม่เปิดไฟให้คนอื่น เพราะเราตระหนี่ถี่เหนียว ก็ไม่มีใครได้รับความสว่าง...
            เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น  ผู้อื่นก็จะช่วยเราเป็นการไม่เอาเปรียบกัน เวลาช่วยผู้อื่นแล้วจำเป็นต้องได้รับผลดีตอบมาไหม ?...   (ไม่จำเป็น)    ถ้าเราช่วยเขา แต่เขาให้ร้ายเรา เราต้องรู้จักวางเฉย  เพราะว่าที่เราให้ไป  เราไม่ต้องการผลตอบแทน หากเราไม่ได้ผลตอบแทนแล้วเสียใจ แสดงว่าเราหวัง !...
             ฉะนั้น  จึงไม่ควรที่หวังอะไรเลย  ความหวังนั้นมีไว้สำหรับหวังกับตัวเองเท่านั้น  ไม่สามารถหวังกับผู้อื่นได้ !...
             บางคนวาดหวังไว้สวยงาม แต่ไปวาดให้กับคนอื่น พอเขาไม่ทำเราก็รู้สึกเสียใจ แล้วก็ต่อว่า และเปลี่ยนความวาดหวังอันนี้ให้กลายเป็น ความแค้น...แค้นต้องชำระ !...
             ถ้ามัวแต่ชำระก็จะแค้นกันไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ ?...

             การที่เจ้าได้รับเคราะห์ภัย อย่าหนี !..  เพราะยิ่งวิ่งหนีเคราะห์ก็ยิ่งวิ่งตาม หันหน้าไปสู้กับความจริง  ยอมรับเคราะห์กรรมนั้นเข้ามาสู่ตน หมดแล้วจะได้หมดกัน ดีหรือไม่ ?...
             เจ้าไปตีเขาไว้  ไม่ให้เขามาตีคืนได้หรือ ?...
             ร่างกายเราแก่เฒ่าชราแล้ว จะห้ามไม่ให้ป่วยไข้ได้หรือ ?...
             มีแต่สิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดคือ  ก่อนที่เราจะเสียชีวิตทำทุกเวลาทุกนาทีให้มีคุณค่า...
             หนึ่งวันที่เราสั่งสมความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ก็คือหนึ่งวันที่มีค่า สองวันที่เราสร้างความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ชีวิตเราก็มีค่า !...
             หากว่าทุกวันไม่สร้างคุณงามความดีใดๆ เลย  ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ ถึงแม้มีอายุอยู่ร้อยปี  ก็เป็นร้อยปีที่ไม่มีค่า ใช่หรือไม่ ?...
             เคราะห์ภัย ความทุกข์ยากต่างๆ ได้ทวีสูงขึ้น  การทดสอบต่างๆ นานา วิ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญแล้ว...
             แต่อย่าเข้าใจผิด บางสิ่งเป็นเคราะห์กรรมส่วนตัว อย่าเหมาว่าเป็นการทดสอบเสียหมด !...
             หากว่าเจ้าเป็น คนจริง  ศิษย์จะได้มีโอกาสเป็นพุทธะในวันข้างหน้า อย่าขอให้เคราะห์ร้ายเบา   ยิ่งหนัก ยิ่งทวี ยิ่งทดสอบคนเท่าไร...ศิษย์จะเหลือกิเลสน้อยลง
             ผู้เคราะห์ร้ายที่เข้ามาจะทำให้เรากลายเป็นพุทธะได้เร็วขึ้นถ้าศิษย์ทำได้ เป็นพุทธะเดินดินเหมือนอาจารย์ก็ดี มีชีวิตอยู่ แต่อยู่อย่างพุทธะ
             หากว่ายังใช้ตาหูปากมาก ก็ไปพยายามบำเพ็ญหน่อยนะ...


บาปกรรม
ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการทำตามกิเลสในใจ
เคราะห์กรรม
ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการพูดนินทาว่าร้าย


วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ผนึกกำลัง...ทำดีต้านภัยพิบัติ

           ชะตาของคนมาจากไหน ?...
           ชะตาของคนมาจากชะตากรรม  ใช่หรือไม่ ?...
           หากชะตาคนไม่ดี คนในประเทศมีกี่ล้านคน ?..
           แต่ละคนในที่นี้หากชะตาไม่ดี ในจังหวัดจะเป็นอย่างไร ?...
           หาก 70 กว่าจังหวัดชะตาไม่ดีแล้ว  ชะตาของประเทศจะเป็นอย่างไร ?...
           ในโลกนี้มีประเทศตั้งมากมาย แต่ละประเทศก็ล้วนแต่ชะตาไม่ดี  แล้วชะตาของโลกจะเป็นอย่างไร ?...
         
           ในโลกใบนี้เราอาศัยอยู่ด้วยหรือเปล่า หากเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก  นั่นแสดงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชะตาของโลกขึ้นหรือลง ใช่หรือไม่ ?...
            แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ?...
            สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนนั้นถึงแม้กายแยกกัน  แต่จิตนั้นไม่เคยแยก...คนเราหากไม่มีร่างกาย ยังจะมีโอกาสสร้างบุญกุศลอีกหรือเปล่า ?...
            อย่าลืมว่ากรรมนั้นแบ่งเป็นสองชนิดทั้ง "กรรมดี"  "กรรมชั่ว"   พวกเราสร้างบาปเวรกรรมไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจาใจ จะต้องระวังให้ดี  หากวันนี้คนมาด่าเราทั้งๆ  ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราจะโกรธไหม ?...
            วิญญาณอาฆาต ล่ะ !... พลังอาฆาตร้ายแรงมาก อาจจะไปสิงอยู่ที่ตัวใครก็ได้ หรืออาจมาสิงอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น พลังสว่างต้องชนะพลังมืด  เข้าใจไหม ?...
            ชะตาของประเทศสำคัญยิ่ง  เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในประเทศ หลายคนมักคิดถึงปัญหาของโลกใบนี้อยู่เสมอ แต่เวลาไม่แน่นอนเสมอไป บางครั้งในสิ่งที่เราคิดว่ามันใกล้เข้ามา มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา...หากเราคิดว่ามันไกล มันอาจจะใกล้ก็ได้
           เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการรวมพลังกันทำความดี การที่ "มาเช้า"  "มาทัน"  "มาช้า"  ความหมายต่างกันมาก...
            "มาเช้า"  เราอาจทำอะไรได้เยอะแยะ...
            "มาทัน"  เราอาจได้มาเพียงคนเดียว...
            "มาช้า"  เราอาจไม่ได้มาเลย !...
          

ยอมรับชะตา...ก้มหน้ารับกรรม

พระโอวาทหนึ่งในแปดเซียนฮั่นจงหลี่

            อยากเป็นคนโชคดีมีสุข  แต่ทุกวันเอาแต่เบียดเบียนทำร้ายคน จะมีความสุขได้อย่างไร ?...
            อยากมีความสุขหรือเปล่า เบียดเบียนทำร้ายใครหรือไม่ ?...
            ไม่ทำร้ายเขา แต่พรากชีวิตเขา...พรากได้อย่างไรบ้าง ?...  (กินเนื้อเลือดเขา)
            ทำร้ายเขา เบียดเบียนเนื้อเขา  หรือบอกว่าสัตว์เล็กเกิดมาให้สัตว์ใหญ่กิน เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า ช้างเปลี่ยนจากกินอ้อยมากินท่านก็โกรธไม่ได้  ถ้าเสือออกมากินคน ท่านก็โทษเสือไม่ได้ เพราะเล็กกว่าให้คนที่เข้มแข็งกว่าข่มเหงคนที่อ่อนแอกว่า...
            ให้คนที่ไม่มีทางสู้ ถูกรังแก ถูกพรากชีวิต ท่านเองก็ไม่ต้องการให้ใครมาทำกับท่านเช่นนี้ใช่หรือเปล่า ทำไมจึงทำ เขาไม่มีแรงต่อสู้ ไม่มีเสียงให้ท่านได้ยินก็เลยพรากเขาไป...
             โดยพื้นฐานของจิตใจ เมื่อเห็นเขามีชีวิตเป็นอย่างไรก็ทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเขายต่อหน้าต่อตา เมื่อเห็นเขาตายไม่อาจกินเนื้อเลือดเขา แต่ทำไมคนบางคนแม้เขาตายต่อหน้าก็สามารถทนเห็นได้แม้เขาโอดครวญต่อหน้าต่อตาก็ทนเห็นได้ เพราะอะไร ?...
             เพียงเพราะเสียงท้องร้อง ท้องจึงใหญ่กว่าความมีเมตตา..
             บางครั้งก็ติดรสเพียงแค่ลิ้นที่สั้นๆ นี้ จึงยอมแม้กระทั่งทำร้ายและเบียดเบียนคนอื่นออเวลาคนอื่นทำร้ายเรา  การที่จะให้เรายอมอภัยให้ง่ายๆ จะยอมไหม ?..
             กำปั้นมา กำปั้นตอบ.. ขามา ก็ขาตอบ !.. บางทีมาขาเดียวกลับไปสองขา อย่างน้อยต้องเอาให้หายเจ็บใจ ใช่หรือไม่ ?...
             บางครั้ง เมื่อโดนกรรมเข้ากับตัวเอง เมื่อตัวเองเคราะห์ร้ายบ้าง เราอย่าได้โทษเขาเลย ต้องรู้จักให้อภัยและยอมรับชะตากรรมกับสิ่งที่ตนเองเคยกระทำมา ต้องยอมรับความจริง ผู้ที่ยอมก้มรับความเป็นตริง ผู้นั้นจะมาสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างแท้จริง !...
             หากคนที่อยู่บนโลกนี้ไม่ยอมรับอะไรได้ง่ายๆ ยึดมั่นแต่ความเป็นตัวของตัวเองและความสามารถของตัวเองก็ยากที่จะมีชีวิตอย่างปกติสุข หรืออยู่บนโลกนี้ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสันติสุข...

เมตตาธรรม กับ ความอยาก

พระโอวาสหนึ่งในแปดเซียนหลันไฉ่เหอ
เมตตาธรรมจะค้ำจุนโลกนี้ให้สงบได้...เป็นเพราะความอยากเมตตาธรรม
จึงถูกลบเลือน เป็นเพราะความอยากถึงกับฆ่าเขาได้ลง ถึงกับกินเขาได้ลงคอ !...



           หากเราถามทุกๆ ท่านว่า..ในที่นี้คนทุกคนล้วนทนไม่ได้ที่เห็นคนตกทุกข์ได้ยาก เมื่อเห็นเขาตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ท่านทนได้ไหมที่จะนิ่งเฉย ไม่สนใจไยดี ?... (ทนไม่ได้)
           แปลว่าทุกคนล้วนมีจิตเมตตา มีจิตโออ้อมอารี เห็นใครตกทุกข์ได้ยาก ไม่อยากให้เขาเดือดร้อน ไม่อยากให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตา...
           แต่ว่าความเมตตาของเรานั้นกลับเป็นเมตตาแค่เพียงความคิดหรือ..ต้องเป็นได้ทั้ง คิด พูด  และกระทำ...
           ตอนนี้เวลาเราเห็นสัตว์ร้อง ในใจเรารู้สึกเป็นอย่างไร ?...(สงสาร)...  เมื่อตอนเห็นสัตว์มีชีวิตแล้วต้องตายไปต่อหน้า  ท่านรู้สึกอย่างไร ?...นึกถึงหม้อแกงหรือกระทะร้อนๆ...
           มนุษย์เรานั้นเวลาเห็นคนอยู่ด้วยกัน เราก็อยากให้เขามีชีวิตอยู่  เวลาเราเห็นสัตว์ที่อยู่ร่วมกับเรา  ตาย !... เราก็ยังอดสงสารไม่ได้ ใช่หรือไม่ ?...
          หรือแม้สัตว์ตัวนั้นจะไม่ได้เป็นสัตว์ที่เราเลี้ยงก็ตาม  แต่ทำไมกลายเป็นเรารู้สึก อยากกินเขา  ทำไมเราไม่เกิดความสงสารให้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุด  แสดงว่าความสงสารของเราเป็นแค่เพียงชั่วครู่ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ใช่ของจริงแท้หรือ ?...
          เป็นเพราะความอยากของเราถึงกับฆ่าเขาได้ลง ถึงกับกินเขาได้ลงคอ !... ความโลภของเราถึงกับประหัตประหารเขาได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ ?...
          แปลว่าในใจของเราทุกคนก็ไม่อยากจะมีสิ่งนี้  แต่เพราะว่ากินมาจนติดแล้ว เบียดเบียนจนเคยชินแล้ว อำนาจของความชั่วย่อมเป็นอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์...
          เมื่อใดที่มนุษย์กับมนุษย์ลงโทษกันไม่ได้...
          เมื่อนั้นฟ้าดินจะช่วยจัดการ...
          เมื่อใดที่คนกับคนไม่สามารถตัดสินให้เที่ยงธรรมได้...
          เมื่อนั้นฟ้าดินจะเที่ยงธรรม...
          อย่าเห็นว่าการฆ่ากันเป็นเรื่องที่ไม่มีผลตอบสนอง  ย่อมมีผลตอบสนอง !..  ทำไมเราอยู่กับบางคน เรารักเขา.. แต่ทำไมบางคนเราถึงเกลียดเขา... นั่นเป็นอำนาจที่เรามองไม่เห็น ใช่หรือไม่ ?..
          ทำไมคนปัจจุบันจึงใช้การฆ่าสัตว์มาฆ่าคนได้ลงคอ นั่นเป็นเพราะว่าเกิดจากความชั่วที่ก่อตัวเล็กๆ  ความชั่วที่ทำไว้เมื่อเห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตาย แล้วนับประสาอะไรกับสัตว์ตัวใหญ่ๆ ที่จะพอกพูน แล้วทำให้ลงมือฆ่าเขาได้ จริงหรือไม่ ?...
           ฉะนั้น...  เวลาเราเกิดเคราะห์ร้ายเคราะห์กรรมที่เราไม่รู้สาเหตุเกิดขึ้นกับเรา เราต้องถามตัวเองว่า ได้สร้างกรรมดีมาแค่ไหน เราได้เคยเบียดเบียนคนอื่นบ้างหรือเปล่า ?...
           หากตลอดมาเราได้ทำดี จะไปกลัวอะไรกับกรรม เราย่อมสามารถหลีกหนีได้...
           แต่ถ้าคนทำชั่ว ทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น !..


การทำให้ร่างกายไม่มีโรคนั้น...ง่ายนิดเดียว
คือ  โรคเข้าทางปาก
ถ้าสิ่งที่ท่านทานเข้าไปทุกวันมีแต่...เชื้อโรค
ก็ย่อมเกิดโรคขึ้นได้
มนุษย์ยังเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ มากมาย
คิดว่าสัตว์จะป่วยเป็นโรคต่างๆ บ้างไหม
เราทานโรคเข้าไปหรือเปล่า...พิจารณาให้ดีๆ

ปฏิบัติธรรมะ...ชนะโรคร้ายได้

           หากวันนี้เจ้าไม่อยากให้มีโรคภัยไข้เจ็บ จะป้องกันอย่างไร ?..
           โรคร้ายต่างๆ มันวิ่งขนานไปกับความพัฒนาของมนุษย์ร่างกายมนุษย์ยิ่งมีความต้านทานโรคมากเท่าไร เชื้อโรคมันก็พัฒนาตัวเองเก่งยิ่งกว่าเดิม...
            มนุษย์ยิ่งก้าวหน้า..เชื้อโรคยิ่งพัฒนา..
           ดังนั้น  หากว่าเจ้าจะป้องกันไม่ให้มีโรคภัยต่างๆ มารังควานจะต้องทำอย่างไร  อาจารย์เคยบอกกับพวกเจ้าแล้ว  มีทางเดียวคือ ขจัดสารอสรพิษร้ายโลภโกรธหลงออกจากใจให้หมด...
           ทำไมถึงต้องกำจัดเจ้าสามอสรพิษร้ายด้วยเล่า ?..
           ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้มันไปประสานงานกับเชื้อโรคข้างนอกนั่นเอง...
           นอกจากนั้นแล้วยังต้องสร้างบุญสร้างกุศล  เจริญปณิธานกินเจ อุทิศบุญกุศล หมั่นออกกำลังกายดูแลสุขภาพ กราบไหว้พระกลับมาสถานธรรมเพื่อขอขมา ยังมีอะไรอีก ?...
           จะต้องมีจิตสำนึกคุณ  ต้องพยายามทำให้ได้ทุกอย่างจึงจะมีภูมิต้านทานเป็นวัคซีนป้องกันกายและใจ  จิตวิญญาณจึงจะแข็งแรง  หากจะป้องกันการเกิดโรคจะต้องทำควบคู่กันระหว่างมีรูปลักษณ์และไร้รูปลักษณ์...
            เพราะว่าเชื้อโรคบางอย่างมีโครงสร้างที่เหนียวแน่นและแรงต้านทานสูง ดังนั้น หากเจ้าต้องการข้ามพ้นวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย  เจ้าจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนคือ...
            บำเพ็ญธรรม ขัดเกลากิเลสในจิตใจ กินเจ ไหว้พระ สำคัญที่สุดคือ "สามทาน" (ทรัพย์เป็นทาน วิทยาทาน แรงกายเป็นทาน) อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร..
            โรคร้ายที่เกิดขึ้นล้วนมีต้นเหตุมาจากวิบากกรรมและกรรมร่วมที่เคยก่อไว้  ดังนั้น จะต้องลดแรงกรรมแห่งความอาฆาตแค้นของเจ้ากรรมนายเวรเพื่อให้ไอแห่งความแค้นของเหล่าวิญญาณยอมสลายไป...

บำเพ็ญธรรม...รอดพ้นภัยพิบัติ

             ภัยที่ใหญ่ที่สุดคือ การเวียนว่ายตายเกิด !...
             เวไนยทั้งหลาย ทุกภพทุกชาติต้องผจญกับภัยพิบัติ...
             มีใครบ้างที่เกิดมาในโลกนี้ไม่เคยได้รับเคราะห์กรรมใดๆ เลย
             เรามักได้ยินข่าวร้ายบ่อยๆ คนนั้นถูกรถชนตาย คนนี้เป็นโรคนั้น คนนั้นเป็นโรคนี้  หรือเพื่อนของเราประสบอุบัติเหตุ  ที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นภัยพิบัติทั้งสิ้น...
             อันว่าภัยพิบัติใช่เพียงแต่การได้รับความทุกข์เข็ญลำบากใจ  ความเจ็บไข้ได้ป่วยทางกายสังขารเท่านั้น ภัยพิบัติที่แท้จริงคือ  การที่วิญญาณต้องออกไปเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสังสาร...
             นี่เป็นสิ่งที่พวกเจ้าน่าจะกังวลมากที่สุด เพราะเป็นภัยพิบัติที่ใหญ่ที่สุด !...
             ฉะนั้น  การหยุดวัฎจักรแห่งการเกิดตายถึงจะเป็นการหลุดพ้นจากภัยพิบัติที่แท้จริง..
             ด้วยเหตุนี้ ฟ้าเบื้องบนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจึงคอยเตือน ให้รีบเร่งสร้างบุญกุศล..ชดใช้หนี้กรรม...เจริญปณิธาน... เป็นการผ่อนผันหนี้กรรมเก่า เร่งฉุดช่วยเวไนยขึ้นธรรมนาวา ให้พวกเขามาปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏะสังสาร  ไม่ต้องกลับมารับทุกข์ทรมานจากภัยพิบัติอีกต่อไป...
            เหตุเพราะเวไนยยังมีหนี้กรรมเก่าที่ยังไม่ได้ชำระ  ตราบใดที่ยังคงเวียนว่ายในวัฏฏะสังสารภัยพิบัติก็ยังไม่หมดสิ้น  เพราะเหตุใดเล่า ?  เพราะกฎแห่งกรรม !...
            สาเหตุของภัยพิบัติทั้งหลายล้วนมาจาก "กรรม"
            ฉะนั้น พวกเจ้าอยากจะรอดพ้นจากภัยพิบัติไหม  อยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไหม ?...(อยาก)
            ถ้าอย่างนั้นก็ต้องบำเพ็ญธรรม !...
            ไม่ต้องพูดมาก พูดมากก็รังแต่จะหาความทกข์ใส่ตัว พระวิสุทธิอาจารย์ได้ชี้หนทางให้แล้ว แต่การปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวเจ้าของ...

                                                 เงินทองกาเมไม่บริสุทธิ์ไซร้
                                                      พูดไปก็ไร้ประโยชน์

คำติฉินนินทา  เป็นข้ออ้างที่จะเอาชนะ
คำโกหก  เป็นรากเหง้าแห่งภัยพิบัติ
คำใส่ร้ายป้ายสี  เป็นการทดสอบจริง-เท็จในการบำเพ็ญ
คำส่อเสียดเหยียดหยาม  เป็นแรงเสริมสร้างขันติในจิตใจ
คำด่าว่าหยายคาย  เปรียบมีดดาบแหลมคมทิ่มแทงจิตใจ
คำสุภาพอ่อนโยน  ชโลมจิตใจให้บานสะพรั่งดั่งลมฝนในฤดูใบไม้ผลิ
คำชี้แนะในพระวจนะ  เป็นแสงแห่งปัญญาแก่เวไนย์ทั้งหลาย
คำที่ประเสริฐล้ำค่า  ควรแก่การจดจำจารึกไว้ในใจตลอดกาล

บำเพ็ญธรรม..ดีอย่างไร

              ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ากำลังประสพอยู่นั้น  ไม่ว่าเรื่องที่น่ายินดีหรือเสียใจ  สมหวังหรือผิดหวัง ฯลฯ  ทั้งหมดล้วนมีเหตุมาจากกรรมในอดีตทั้งสิ้น...
               หากในขณะนี้เจ้าได้รับผลแห่งกรรมดี  การงานนั้นจะราบรื่น ไม่มีอุปสรรค ทำอะไรก็เทพไปหมด ถ้าเป็นเช่นนี้  เจ้าจะต้องสำนึกถึงพระคุณฟ้า ยิ่งจะต้องถนอมโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล...
               แต่ในขณะที่เจ้ากำลังประสบปัญหา  เผชิญขวากหนามที่พวกเจ้ามักจะกล่าวว่าชะตาไม่ดี มีเรื่องปวดหัวมากมาย...
               ถ้าเช่นนั้น ก็อย่ากล่าวโทษฟ้าดิน  เมื่อมีอุปสรรคสวนทางเข้ามาหาเราก็ต้องยอมรับและอย่าสร้างกรรมกับสรรพสัตว์หรือผู้คนรอบข้าง  เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะมากระทบชีวิตและขัดขวางการปฏิบัติธรรมของเราในอนาคต..
               ฉะนั้น   อย่าสร้างเหตุใดๆ  ที่เกิดจากความโกรธ  ความเกลียด ความอาฆาตแค้น ความเป็นศัตรูกัน...
               บำเพ็ญธรรม  ก็คือ  การสลายกรรมเก่า  ไม่สร้างกรรมใหม่ หลุดพ้นสิ้นเวรสิ้นกรรม  บาปทั้งหมดที่ทำผ่านมาจะต้องขอขมาสำนึก และรำลึกถึงบุญคุณสวรรค์...
               และในขณะที่อะไรๆ  มันไม่สามารถแก้ไขหรือดึงกลับมาได้ แต่ว่าเจ้ายังมีโอกาสในวันข้างหน้า  ฟ้าต้องการให้เจ้าเป็นคนใหม่เปลี่ยนโฉมหน้าและจิตใจใหม่  ก็เพื่อที่จะแก้ไขชีวิตและดวงชะตาเจ้าให้ดีขึ้น...

คุณค่า...ที่แท้จริงของชีวิต

            ชีวิตของคนเรามีค่าแค่ไหน...ตายไปแล้วก็หมดสิ้นกัน เป็นอย่างนี้หรือ ?...หลายคนคิดว่าตายแล้วก็หมดสิ้นเวรสิ้นกรรม...
            ชีวิตตายแล้วจะต้องเวียนไปตามบุญบาปที่ตนเองได้สร้างไว้ !...
             เพราะฉะนั้น  สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ  จะต้องสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง  วันนี้หลายคนตายอย่างไร้ค่า  เหมือนผักเหมือนปลา อย่างนี้น่าเสียดาย เกิดมาทั้งทีเรียกได้ว่าเสียชาติเกิด...
             วันนี้ได้กายสังขารเป็นมนุษย์แล้ว  จะต้องอิงอาศัยกายสังขารของมนุษย์ "บำเพ็ญปฏิบัติธรรม"  เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลชดใช้เจ้ากรรมนายเวร  และอิงอาศัยบุญกุศลนี้ได้มีมรรคผล ณ เบื้องบนต่อไป...


โลกใบนี้จะสงบสุขได้ก็อยู่ที่มนุษย์กระทำกัน
เราร่ำร้องอยากจะอยู่กันอย่างมีความสุข
อยากจะปลอดภัยไม่เกิดภัยพิบัติ
ก็ต้องดูที่การกระทำของพวกท่านแต่ละคนดูว่า
จิตใจของพวกท่านจะใสสะอาด
จะทำเพื่อส่วนรวมกันมากแค่ไหน
หวังว่าความเห็นแก่ตัวจะไม่มีเกิดขึ้น
คิดเพื่อส่วนรวมทำเพื่อส่วนรวมสิ่งที่ได้จึงจะประเสริฐที่สุด

ธรรมะ..จะช่วยอะไรเราได้ ?

         ธรรมะ...จะช่วยอะไรเราได้ ?
         หลวงปู่ดูลย์ อตุโล

          เมื่อสมัยไฟไหม้จังหวัดครั้งใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว  ผลคือความทุกข์ยากสูญเสีย สิ้นสติไปก็หลายราย  วนเวียนมาลำเลิกให้หลวงปู่ฟังว่า อุตส่าห์ทำบุญกุศล ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย  ทำไมบุญกุศลจึงไม่ช่วย..ทำไมธรรมะจึงไม่ช่วยคุ้มครอง..ไฟไหม้บ้านวอดวายหมด !.. แล้วเขาเหล่านั้นเลิกเข้าวัดทำบุญไปหลายรายเพราะธรรมะไม่ช่วยให้เขาพ้นจากไฟไหม้บ้านฯ...
          หลวงปู่บอกว่า..."ไฟมันทำตามหน้าที่ของมัน !... ธรรมะไม่ได้ช่วยใครในลักษณะนั้น หมายความว่า ความอันตรธาน... ความวิบัติ...ความเสื่อมสลาย...ความพลัดพรากจากกันนั้น..สิ่งเหล่านี้มีประจำโลกอยู่แล้ว
           ทีนี้ผู้มีธรรมะเมื่อประสบกับภาวะเช่นนั้นแล้ว  จะวางใจอย่างไรจึงไม่เป็นทุกข์อย่างนี้ต่างหาก  !... ไม่ใช่ธรรมะช่วยไม่ให้แก่..ไม่ให้ตาย..ไม่ให้หิว..ไม่ให้ไฟไหม้..ไม่ใช่อย่างนั้น !..
            พระพุทธองค์ท่านทรงสอนคนๆ หนึ่งว่าลองไปถามทุกๆบ้าน มีบ้านไหนที่ไม่มีคนตาย !...
            เฉกเช่นเดียวกัน วันนี้เราสอนเพิ่ม...ท่านไปถามทุกๆ บ้าน มีบ้านไหนบ้างที่ไม่มีคนเจ็บ !...
            นี่เป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน เป็นความจริงของตัวมนุษย์ทุกคนต้องมี เรื่องเกิด-ดับ เกิดขึ้นกับชีวิตเราต้องปลงได้ ผู้ที่ปลงได้และรู้จักยึดกุมความเป็นจริงของชีวิตได้ เขาจะสามารถรักษาคุณแห่งชีวิตและดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุข แม้จะเจอเรื่องเกิดแก่เจ็บตายก็ปลงได้และเข้าใจได้อย่างแท้จริง !...

คำสารภาพวิญญาณบาปจาก มหานครอเวจี

ท้าวอเวจีฯ :   บังอาจ !  เราให้เจ้ามาเป็นประจักษ์หลักฐาน กำแหงยิ่งนัก เอาโต๊ะและเต้าผาวมาเราจะว่าความ...
                ที่สาธุชนทั้งหลายเห็นนี่คือ วิญญาณบาปหนาจากมหานรกอเวจี !.. ซึ่งเราให้มาเป็นประจักษ์หลักฐานในวันนี้ เจ้าจงฟังคำเรา จงพูดเรื่องราวการทำบาปของตนเองให้สาธุชนทั้งหลายฟัง เล่าดีดี อย่าได้ผิดพุทธระเบียบเป็นอันขาด..

วิญญาณบาป :  กูเป็นคนชลบุรี กูตายเมื่อสิบปีที่แล้ว..พวกมึกรู้ไหมว่ากูตายอย่างไร กูตายอย่างทรมาน กูเกลียดมัน กูจะฆ่ามัน !..  พวกมันฆ่ากูอย่างทรมาน  มันตัดหัวกู หั่นหัวกู หั่นแขนกู ขากู แล้วพวกมันก็เอากูไปใส่เครื่องบดหมู..
                บดจนละเอียด แล้วพวกมันก็เอาเนื้อกูไปให้จระเข้กิน เป็นจระเข้ที่กูเลี้ยงไว้ !..พวกมันเลว กูจะมาทวงพวกมัน พวกมึงก็เหมือนกันเลวเหมือนกู  กูไม่เคยเชื่อเลยว่าเรื่องบาปกรรมมีจริง กูไม่เชื่อเลย
กูทำมาหมดทุกอย่าง บาปกรรมที่ว่าเลวแค่ไหน กูก็ทำมาหมด !.. กูค้ายาเสพติด ตั้งแต่ยาบ้า เฮโลอีน ฮ่าๆๆ  สมน้ำหน้า สมน้ำหน้าพวกมัน พวกมันโง่เอง โง่จนครอบครัวแตกแยก พ่อแม่ลูกทะเลาะแบะแว้งกันเพราะยาเสพติด.. พวกมันโง่ ๆๆๆ..
               กูยังเปิดบ่อน เปิดซ่องเล็กซ่องใหญ่....
               ผู้หญิงสาวๆ มันถูกพวกกูหลอกเอาหมด มันถูกหลอกเพราะความโง่ของพวกมันเอง สุดท้ายมันก็ต้องตกเป็นเหยื่อกามารมณ์ ให้พวกผู้ชายที่มันบ้ากาม  แต่พวกมันก็ยังหน้าโง่..
                บางคนไม่ยอมก็ถูกข่มขืน ใครที่หนีก็ถูกฆ่าตาย...
                กูให้สมุนกูฆ่ามันให้หมดเลย แล้วโยนลงบ่อจระเข้ พวกมึงระวังตัวให้ดี พวกผู้หญิงสวยๆ ระวังไว้ให้ดี !...
                แล้วกูยังเปิดบ่อนการพนัน  ไอ้พวกที่ชอบเล่นการพนันพวกมันก็โง่เหมือนกัน...
ทรัพย์สินเงินทองที่พวกมันมี ก็หลงอยู่กับการพนันกับบ่อนที่พวกกูเปิดอยู่ พวกมึงโง่ทั้งนั้นแหละ ใช่ไหม ?... แล้วกูยังเลี้ยงบ่อจระเข้ เอาเนื้อเอาหนังจระเข้ไปขาย...
                รู้ไหมว่าได้เงินดีมาก เอาหนังไปทำกระเป๋ารองเท้า ได้เงินเป็นแสนเป็นล้าน หนังมัน เนื้อมันอร่อย เหมาะกับไอ้พวกที่ชอบเปิผพิสดาร..กูเลวไหม !..
                อย่าคิดนะว่าพวกมึงจะรอด !..
                พวกมึงก็เลวเหมือนกับกูนั่นแหล่ะ !..  สำนึกเหรอ สำนึกได้ก็แค่ชั่วคราว สักพักก็กลับไปเลวอีก ฮ่าๆๆๆ...
                ยายกูบอกว่า กูเป็นสัตว์นรกมาเกิด แต่กูไม่เชื่อ !...
                กูไม่เคยทำบุญ กูเห็นพระสงฆ์ กูก็ว่ามันเป็นขอทาน ไม่มีจะกิน ขอชาวบ้านกิน...
                พ่อแม่กูเป็นอัมพาต กูเห็นพ่อแม่กูเป็นอัมพาต ด้วยความที่กูเกลียดพ่อแม่ กูก็เลยเอายาพิษให้พ่อแม่กูกิน  เพื่อไม่ให้เป็นภาระกูอีกต่อไป..
                กูมันเลว !..ฮือๆๆๆ
                สุดท้าย กูไม่คิดว่าชีวิตกูจะสั้นขนาดนี้ กูตายไปสิบปีที่แล้วตายตอนอายุ 53 ปี กูไม่เคยคิดเลยว่ากูตายปแล้วจะตกนรก ต้องไปชดใช้กรรมที่สร้าง...ฮือๆๆ
                ตอนนี้กูอยู่ในนรกที่ร้ายแรงที่สุด ที่เรียกว่า  นรกอเวจี...
                ตอนนี้กูรู้แล้วว่าบาปกรรมมีจริง แต่ตอนนี้รู้สำนึกก็สายไปเสียแล้ว ตอนนี้ต้องไปรับโทษรับเวร
                พวกมึงก็เหมือนกัน พวกมึงก็กินกู พวกมึงก็ฆ่ากู!...
                กูเคยเกิดเป็นวัว เป็นควายชดใช้กรรม กูเคยเกิดเป็นตัวเหี้ย โดนคนเขาถลกหนังมากิน...
                กูกลัว กูไม่อยากไปแล้ว กูไม่อยากไปนรกแล้ว !...
                พวกมึงอย่าคิดว่านรกไม่มีจริง กูไม่เคยรู้มาก่อนว่านรกมันมี  มันน่ากลัวขนาดไหน...
                ตอนที่มีชีวิตอยู่ กูสุขสบายทุกอย่าง ไม่เคยทุกข์ร้อนอะไร กูเป็นถึงเจ้าพ่อเมืองชล พวกมึงทุกคนก็ต้องฟังกูรู้ไหม !...
                ใครไม่ฟังกูมันต้องตาย ช่วยกูด้วย ช่วยด้วย !...
                กูร้อน  เจ็บ กูยอมแล้ว..กูสำนึกแล้ว !..

ท้าวอเวจีฯ :        รีบพูดต่อ กล่าวความในใจเดี๋ยวนี้ เจ้าจงพูดต่อเดี๋ยวนี้ เสียงดังดัง !...
วิญญาณบาป :     ความแค้นนั้นไม่เคยสิ้นสุดในหัวใจ ตามทวงไปด้วยแรงแห่งกรรม เพราะชีวิตทุกข์ทรมานสะท้านสั่น บาปเวรกรรมนั้นไม่พ้นสักที..
                            *  อยากจะตามทวงเอาชีวี ให้ชำระความเคียดแค้นลงได้ เหตุเพราะเห็นกงจักรเป็นดอกไม้ ตกนรกไปต้องเจ็บเพียงนี้...
                            **  อยากจะพบพระธรรมต้องทำอย่างไร  อยากจะรู้ใช้กรรมอีกนานเท่าไหร่ กว่าจะพบหนทาง รออีกนานเพื่อเริ่มต้นใหม่ หวังสำนึกไม่สายเกินไป เพื่อหมดเวรเสียที...
                            รู้สำนึกว่าความผิดบาปที่ได้ทำ  คอยจองจำจองเวรเรื่อยมา  ขอชดใช้หนี้เวรกรรมด้วยหยาดน้ำตา ให้บัวพ้นน้ำโคลนตมสักที..            (*/**/**)

                                                                                               ชื่อเพลง :  คนบาปไม่พ้นนรก
                                                                                                ทำนอง :   บัวไม่พ้นน้ำ
............................................................................................................................................................

ท้าวอเวจีฯ :  ความในใจของเจ้าจบหรือยัง ?...
วิญญาณบาป :  จบแล้ว...
ท้าวอเวจีฯ :  ดี..ขุนพลวัวนำวิญญาณบาปกลับคืนสู่นรกอเวจี...
วิญญาณบาป :  กูไม่ไป กูไม่ไป !!!...
ท้าวอเวจีฯ :   ยังมีคนไม่ชื่อ อย่าได้คิดว่านรกไม่มีจริง  หารู้ไม่นรกมีอยู่บนโลกมนุษย์ตั้งนานแล้ว คนในปัจจุบันนี้เลวทรามสามานย์ พญายมทั้งสิบขุมรับไม่ไหว ต้องส่งไปยังแดนของเรา
"มหาอเวจีนรก"...
                      มหาอเวจีนรกกว้างใหญ่ไพศาลยินดีต้อนรับ  เห็นพระโอวาทแล้วใช่ไหม กงกรรมกงเกวียนหมุนเวียนเรื่อยไป ใครก่อกรรมใดต้องตกไปชดใช้กรรม..
                       เจ้าวิญญาณบาป ก่อกรรมทำเข็ญชั่วช้าสามานย์ วันนี้เรานำมาเป็นประจักษ์ แต่ทว่าเจ้าวิญญาณบาปก็ต้องกลับไปรับกรรมอีกเหมือนเดิม..
                        ปัจจุบันนรกสิบขุมไม่รับแล้ว อเวจีอย่างเดียว !...
                       ใครที่ยังไม่เชื่อหนี้บาปเวรกรรม ออกมาเลย เราจะพาไปยังแดนของเรา อเวจีรุ่มร้อน มืดมิดไร้ความหวัง ต่อให้หวังอย่างไรก็ไม่มีทางรอด ถึงจะรอดไปก็ต้องถูกสูบลงธรณี ทุกข์ทรมานเหมือนเดิม...
                       ผู้ที่ได้รับธรรมแล้วไม่ได้อยู่ในการดูแลของเรา แต่ทว่าหากบำเพ็ญไม่ดีก็ต้องติดคุกสวรรค์เช่นกัน  ยังมีคนที่ยังไม่รับธรรม ต้องถูกจองจำจากบัญชีกรรมของเราแน่นอน..
                       สาธุชนทั้งหลายจงฟังให้ดี !...
                       เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน "กรรม" คือการกระทำออกมาจากกิเลสความคิดของเรา  นั่นเอง...
                       ผลที่ได้รับก็คือวิบากกรรม ไม่เชื่อกรรมก็ยากที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธะ สาธุชนทั้งหลายจงสำนึกขอขมาด้วยจิตที่แท้จริง พระแม่องค์ธรรมให้โอกาสทุกคนครั้งสุดท้ายยุคสามปลายกัป...
                       ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พบธรรมะ...
                       อย่าได้เย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี...
                       อย่าได้คิดว่าพ้นจากการควบคุมของเราแล้ว...
                       สาธุชนทั้งหลาย  ยินดีที่จะร่วมกันสร้างบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรหรือไม่ ?..(ยินดีค่ะ/ครับ)
                      พวกเจ้าวิญญาณบาปทั้งหลายได้ยินแล้วใช่ไหม !...
                      พวกเขายินดีสร้างบุญกุศลให้พวกเจ้าทั้งหลาย เราหวังว่ากลับไปแล้ว  สาธุชนทั้งหลายจะไม่ลืมคำของตนเอง รับธรรมแล้วก็ยังมีหนี้บาปเวรกรรมอยู่ ต้องชดใช้ด้วยบุญกุศล...
                       เราขอผูกบุญสัมพันธ์แต่เพียงเท่านี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าวิญญาณบาปทีมาเป็นประจักษ์หลักฐานในวันนี้จะเป็นแรงทำให้สาธุชนทั้งหลายมีแรงที่จะเป็นคนดีสร้างบุญกุศลที่แท้จริง...
                        หวังว่าจะนำคำทุกคำของวิญญาณบาปที่สารภาพไปขบคิดแล้วฉุดช่วยผู้ที่มีบุญสัมพันธ์ขึ้นสู่เรือธรรมนาวา...



โลกกำลังไม่มีสันติสุข ไม่มีสันติภาพ
เพราะว่าไม่มีธรรมะครองโลก
เราจะต้องจัดการทุกอย่าง ให้ธรรมะครองโลก            

บาปกรรมทำไว้..นำมาซึ่งภัยพิบัติ

           บาป...  เกิดจากการกระทำ ทางกาย วาจา ใจ  ผิดต่อศีลธรรมจรรยา ผิดต่อหลักคุณธรรม ผิดต่อผู้มีศีล ผิดต่อผู้มีพระคุณ ทำร้ายให้โทษแก่ผู้ที่ไม่มีความผิด...
           ผลคือ..กรรมสนอง  ย่อมติดตามลงโทษทั้งทางตรง ทางอ้อมกับบุคคลนั้น แม้ตายแล้วเกิดใหม่กรรมนั้นก็ยังตามติดไปทุกภพทุกชาติในขอบเขต 10 ประการ ไม่มีข้อใดก็ข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้...

1.  เวทะนัง ผะรุสัง ชานิง
     ต้องประสบกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ทางกาย ทางใจ มีชีวิตเหมือนคนที่ตายแล้วทั้งเป็น..
2.  สะรีรัสสะ วะ เภทะนัง
     ต้องประสบกับปัญหาเรื่องของสุขภาพเสื่อมเสีย มีร่างกายแตกหักต้องถูกตัด ต้องถูกผ่า ต้องถูกเจาะอยู่บ่อยๆ..
3.  คะรุกัง วาปิ อาพาธัง
     ต้องประสบกับโรคร้ายเรื้อรัง ความเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายขาดเป็นโรคที่นอนรอต่อความตาย โรคที่ต้องใช้เงินรักษามาก โรคที่ทรมาน...
4.  จิตตักเขปัง วะ ปาปุเณ
      ต้องประสบกับความเดือดเนื้อร้อนใจ กินไม่ได้ นอนไม่หลับ โรคฟุ้งซ่าน เป็นโรคจิต โรคประสาท
5.  ราชะโต วา อุปสัคคัง
     ต้องประสบกับโทษทัณฑ์ติดคุก ติดตะราง ถูกกักขัง ขึ้นโรงขึ้นศาล ต้องคดีความ..
6.  อัพภักขานัง วะ ทารุณัง
      ต้องประสบกับการถูกนินทาใส่ร้าย ป้ายสี ถูกดูหมิ่นดูแคลน ถูกกดดันอย่างหนัก..
7.  ปริกขะยัง วะ ญาตีนัง
      ต้องประสบกับความไร้ญาติขาดมิตรและบริวารคนเข้าใจ คนสนับสนุน ครอบครัวแตกแยก ครอบครัว  ไม่มีความสุข มีปัญหาชีวิตรัก..
8.  โกคานัง วะ ปะภังคุณัง
      ต้องประสบกับหายนะสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ลำบากยากจน ขัดสน เป็นหนี้เป็นสิน รวยเร็ว จนเร็ว ไม่มีฐานะที่มั่นคง..
9.  อะถะ วาสสะ อะคารานิ อัคคิ ฑะหะติ ปาวะโก
     ต้องประสบกับอุปสรรคและอันตรายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไฟไหม้ น้ำท่วม ที่โหดร้ายนานาประการ..
10.  กายัสสะ เภทา ทุปปัญโญ นิระยัง โส อุปปัชชะติ
       มีชีวิตที่คล้ายกับสัตว์เดรัจฉาน คล้ายกับสัตว์นรก มีพฤติกรรมที่น่าเกลียดน่ากลัว หลังจากที่ตายไปแล้ว ต้องประสบทุกขเวทนาในนรก เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย คนพิกลพิการ บ้าใบ้ บอด หนวก ในตระกูลที่ไม่ดี ฯ...

                หากชาตินี้ท่านได้ประสบกับผลกรรมข้อใดข้อหนึ่งแล้ว นั่นหมายถึงท่านกำลังชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตัวท่านเป็นผู้กระทำไว้แต่ชาติปางก่อน  หากท่านไม่อยากให้ชีวิตภายภาคหน้าต้องประสบกับชะตากรรมเช่นนี้อีกจักต้องหยุดเกี่ยวกรรมเสียแต่บัดนี้...


คนบาป..ไม่พ้นนรก

ใจมนุษย์บาปหนาหยายสามานย์
ทำลายล้างผลาญชีพกันและกัน
กิเลสมารครอบงำก่อกรรมมหันต์
ทุกข์จาบัลย์คร่ำครวญทั่วโลกา
เสียงกรีดร้องโหยหวนของสัตว์นรก
ใต้พิภพคือจุดจบของคนชั่ว
น่าสังเวชต้องสังเวยเพราะเมามัว
มืดสลัวนิรันดรอเวจี

       

คิดบัญชีทวงหนี้กรรม

คิดบัญชีทวงหนี้กรรม พัทลุง ทะเลหนุน ดินยุบตัว หนีตายวุ่น
              สงขลา  ประสบกับน้ำท่วมฉับพลัน  ขณะนี้สงขลาประกาศภัยพิบัติน้ำท่วมทั้งจังหวัดแล้ว  จากประเมินเบื้องต้นได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท...
              พัทลุง  ต้านไม่อยู่  พายุฝนถล่มพัทลุง น้ำท่วมขัง 11 อำเภอ ซึ่งทางจังหวัดได้ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน  ถนนหลายสายทั้งสายหลักและสายรองจมอยู่ใต้น้ำ...
               สตูล  น้ำได้ท่วมทั้งจังหวัด 7 อำเภอ 21 ตำบล 163 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 23,313 ครัวเรือน 92,116 คน  ถนนสายหลักถูกตัดขาด สถานการณ์น้ำท่วมในครั้งนี้ถือว่าหนักสุดในรอบ 20 ปี...
               นราธิวาส  น้ำท่วม 11 อำเภอยังอ่วม ส่งผลทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ได้รับความเดือดร้อนจำนวน 10,014 ครัวเรือน รวม 38,446 คน  พื้นที่ทางการเกษตรถูกน้ำท่วมขังกว่า 9,000 ไร่...
               นครศรีธรรมราช  ขณะนี้มี 12 อำเภอที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย จำนวน 30 ครัวเรือน กว่า 2,000 คนได้รับความเดือดร้อน ประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ ภูเขาที่พังถล่มลงมา กวาดสวนยางชาวบ้านหายไปกับธารโคลนจำนวนราว 100 ไร่  ประชาชนได้รับความเดือดร้อนประมาณ 300 ครัวเรือนหรือประมาณ 1,000 คน...

วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย

          สาเหตุการเสียชีวิตที่สูงสุด 10 อันดับแรก เกิดจากโรคร้ายต่างๆ รวมถึงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ....

1.  มะเร็ง  และเนื้องอกทุกชนิด
2.  อุบัติเหตุ
3.  โรคหลอดเลือดในสมอง  และความดันเลือดสูง
4.  โรคหัวใจ
5.  ปอดอักเสบ
6.  โรคเกี่ยวกับไต
7.  โรคเกี่ยวกับตับ และตับอ่อน
8.  โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากไวรัส
9.  การบาดเจ็บจากการฆ่าตัวตาย ถูกฆ่าตาย
10.  วัณโรคทุกชนิด

             ความแค้นของสัตว์เดรัจฉานยากจะสงบ  ผลประกฎให้เห็นในโลกนี้คือ น้ำท่วม..พายุ.. แผ่นดินไหว... อุบัติเหตุยานพาหนะ.. โรคที่รักษาไม่หาย..
             ปัจจุบันมนุษย์มีวิธีการกินเนื้อสัตว์พิสดารมากขึ้น  ดังนั้นโรคภัยไข้เจ็บยิ่งปรากฎก็ยิ่งแปลกประหลาด..
              โรคแปลกๆ ที่เกิดขึ้นแม้แต่แพทย์ก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาด  ผู้ป่วยต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส  เหตุเพราะมนุษย์ก่อกรรมทำเข็ญขึ้นมาเองทั้งสิ้น...
              คนสมัยนี้ไม่สนใจเรื่องกฎแห่งกรรม ปล่อยชีวติตามกระแสให้เวียนเกิดเวียนตายไม่มีสิ้นสุดโดยไม่คิดที่จะแสวงหาทางหลุดพ้นการเวียนว่าย ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้น  สัตว์เดรัจฉานก็เช่นกัน  ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นจากกายเดรัจฉาน  ช่างน่าเวทนาเสียจริง...
             นอกจากตัวเราไม่รับประทานเนื้อสัตว์แล้ว  ต้องตักเตือนขอร้องอย่าให้คนอื่นรับประทานเนื้อสัตว์  ในโลกนี้ยังมีคนอีกมากที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการฆ่าสัตว์...

            1.  อาชีพเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งไปฆ่า..
            2.  อาชีพฆ่าสัตว์...
            3.  อาชีพขายปลา  ขายเนื้อสัตว์
            4.  อาชีพค้าส่งค้าปลีกเนื้อสัตว์ในตลาดและหุ้นส่วน
            5.  อาชีพเปิดร้านอาหารและภัตตาคาร ล้วนใช้เนื้อสัตว์ปรุงอาหาร ทั้งเจ้าของร้าน หุ้นส่วน พ่อครัว แม่ครัว คนเสิร์ฟอาหาร คนล้างจาน  คนงาน...
            6.  อาชีพขนส่ง รับจัดการขนย้ายสัตว์ไปโรงฆ่าหรือส่งเนื้อที่ฆ่าแล้วไปตลาด... อาชีพดังกล่าว  เกี่ยวกับการฆ่าทั้งสิ้น  เพราะเป็นเหตุให้สัตว์เหล่านั้นต้องตาย...
            บางคนยังไม่เคยประสบกับเคราะห์ร้าย จึงไม่เชื่อเรื่อง  กรรมตามสนอง !..   กรรมตามสนองหากไม่ปรากฎแก่ตัวเราต้องป่วยเป็นโรค ก็จะต้องตกเป็นภัยแก่ลูกหลาน ตายไปยิ่งน่าสงสารเพราะโทษกรรมที่ได้รับยิ่งร้ายแรงกว่า...
            ตายไปแล้วเป็นวิญญาณ  เมื่อนั้นคิดที่จะให้ใครช่วยหรือขอความช่วยเหลือจากลูกหลานยิ่งยาก
เพระว่า  ตอนนั้นอยู่ในโลกแห่งวัญญาณ !..
            เสียงร้องขอความช่วยเหลือใครบ้างจะได้ยิน ลูกหลานไม่ได้ยิน จะเข้าฝันต้องมีบุญกุศลจึงเข้าฝันได้...    โอกาสเช่นนี้มิใช่จะได้ง่ายๆ ดังนั้น เมื่อตายแล้ววิญญาณต้องไปรับทุกข์เวทนาอย่างน่าสงสาร
            โลกวิญญาณตลอดเวลาต่างรอคอย..
             รอคอยว่า...เมื่อไหร่จะได้กลับตัวอีกครั้ง !...
             รอคอยว่า...วันไหนจะได้แก้ไขอีกครั้ง !...
             รอคอยว่า...เมื่อไหร่ลูกหลานจะแผ่ส่วนบุญไปให้  !...
             เพราะว่าโลกวิญญาณยากที่จะช่วยจิตวิญญาณของตนเองได้ คิดที่จะสร้างบุญกุศลจะต้องอาศัยบุญสัมพันธฺ บางวิญญาณหรือเทวดาที่โชคดีสร้างบุญกุศลโดยดลจิตใจให้คนทำความดี ช่วยคนให้รอดพ้นจากเคราะห์ร้าย...
             แต่  นรก เปรต อสูร เดรัจฉาน  เหล่านี้คิดที่จะขอส่วนบุญยังยากยิ่ง  มนุษย์ในโลกยากที่จะเข้าใจพวกเขาเหล่านั้น ยากที่จะเข้าใจทุกข์เวทนาของพวกเขา !...
             เมธีทั้งหลาย  เคยอุทิศบุญกุศลให้แก่สรรพสัตว์บ้างหรือไม่  เกิดมาชาตินี้เคยกินเนื้อเขา  ถ้าเรากิจเจมาตั้งแต่อยู่ในท้องอย่างนั้นก็ไม่ต้องอุทิศ เพราะไม่ได้ก่อกรรมในชาตินี้ แต่ในอดีตชาติล่ะ  ไม่เคยกินเนื้อสัตว์เลยหรือ ?...
             หนี้กรรมที่ติดตามเรามา ในชาตินี้ก็จะต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติที่เรากินเนื้อเขา  เป็นการลบล้างหนี้กรรมและป้องกันเจ้ากรรมนายเวรตามราวีอันเป็นสาเหตุของอุปสรรคในชีวิต...
             หากเจ้ากรรมนายเวรตามทวง  สถานเบาก็เจ็บป่วย  ถ้าหนักก็เสียชีวิต !...  ชาตินี้หากไม่เร่งชดใช้กรรม แล้วอีกเมื่อไหร่จึงจะหมดสิ้น...
             ต้องอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลชดใช้กรรม  นี่คือเบื้องบนให้โอกาสครั้งยิ่งใหญ่ ผู้บำเพ็ญธรรมจะต้องมีความมุ่งมั่น...
             เรากษิติครรภโพธิสัตว์อยู่ในยมโลกได้รับฎีกาอุทิศเพื่อขอลบล้างหนี้กรรมก็มาก  ขอให้เมธีทุกท่านพึงระวังและจดจำไว้ว่ายังมีหนี้กรรมเก่าที่ยังไม่ได้ชดใช้ จะต้องอุทิศแผ่ส่วนบุญอยู่เสมอเพราะในอดีตชาติเราได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้เมื่อไหร่ไม่รู้นอกจากกินเนื้อสัตว์แล้วยังทำร้ายชีวิตเขาอีกจะชดใช้อย่างไร..
            ดังนั้น จะต้องบังเกิดจิตสำนึกอยู่ทุกขณะ สำนึกขอขมาต่อความผิดที่กระทำไว้ในอดีต และสำนึกขอขมาต่อความผิดที่กระทำไว้ในชาตินี้...

ท่อง  "สัพเพสัตตา" มาแต่ไหน                              ยังเข้าใจในเนื้อแท้แค่ผิวเผิน
ยังฆ่าบ้างกินบ้างอย่างเพลิดเพลิน                        ยังใช้เงินซื้อชีวิตอนิจจา
สัตว์เกิดกายมาใช้กรรมที่ทำไว้                              เป็นเป็ดไก่กุ้งปลาและหมูหมา
ตามเหตุต้นผลกรรมที่ทำมา                                  มิใช่ฟ้าประทานมาให้คนกิน
มีปัญญาแต่ไฉนจึงไม่คิด                                       มองชีวิตกลับเห็นเป็นทรัพย์สิน
เสียงกรีดร้องก่อนตายใครได้ยิน                            น้ำตารินเมื่อถูกเชือดเลือดกระเซ็น
พูดว่าเขาเกิดมาเป็นอาหาร                                    เขาลนลานหนีตายใครมองเห็น
เขาจนใจพูดไม่ได้เถียงไม่เป็น                               ช่างเลือดเย็นเข่นฆ่าไม่ปรานี

           

เกี่ยวกรรม..กับชีวิตสัตว์ผลสนองคือภัยพิบัติ

           เวไนยทั้งหลายเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์เป็นเวลาพันหมื่นปีมาแล้ว  เวียนว่ายไม่จบสิ้น ตราบใดหนี้กรรมยังชดใช้ไม่หมดก็จะต้องตกสู่วัฏฏะสังสารไปตลอดชั่วกาลนาน...
            เมธีทุกท่านคงไม่มีใครรู้ว่าตนเองเมื่อชาติที่แล้วเคยเกิดเป็นเดรัจฉานมาหรือเปล่า เคยถูกกินมาแล้ว ใช่เหรือเปล่า ?...
            มนุษย์โลกขณะที่ปากกำลังเคี้ยวเนื้ออย่างเอร็ดอร่อยไม่คิดว่า ชิ้นเนื้อในปากแลกมาด้วยความตายของหนึ่งชีวิต  คนทั่วไปมักคิดไม่ถึง...
            สัตว์ต้องตายอย่างน่าอนาถ  ทำไมสัตว์เหล่านั้นถึงต้องมารับโทษทัณฑ์อย่างทารุณโหดร้ายที่มนุษย์หยิบยื่น...
            ถึงแม้ชะตากรรมในชาตินี้ต้องเกิดกายได้ร่างเป็นสัตว์แต่มนุษย์ยังไปเพิ่มความเจ็บปวดให้กับสัตว์เหล่านั้น  จนกระทั่งกรรมตามสนอง !...
            พันหมื่นปีเวไนยเคยชินกับการกินเนื้อสัตว์ ยากตัดได้...
            ในโลกนี้มีคนจำนวนมากยิดติดการกินเนื้อสัตว์เป็นสิ่งจำเป็น  ไม่เชื่อว่าเป็นการประพฤติผิด  แม้รู้ว่ากิจเนนั้นดี แต่กลับคิดว่าความอยากปากท้องสำคัญกว่า...
            บางคนคิดว่าสัตว์เกิดมาเพื่อให้มนุษย์ใช้สอย  สัตว์กินเนื้อสัตว์ได้  ทำไมคนจะกินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เป็นความคิดที่เบาปัญญาของมนุษย์...
            มนุษย์จะกินเนื้อสัตว์หรือสัตว์กินสัตว์ล้วนเป็นกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น  จะหยุดการเวียนว่ายต้องหยุดสร้างกรรม !...
            กินเจเป็นการตัดกรรม หากในปากยังกินเลือดเนื้อสัตว์ยังเพิ่มความเกลียดชังเคียดแค้นแก่สัตว์ร่ำไป  ภัยพิบัติและไอแห่งความแค้นไม่หยุดที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง...
            แล้วโลกนี้จะเกิดสันติได้อย่างไร ? ...
            ธรรมะจะเก็บงานสมบูรณ์ได้อย่างไร ?...
            ธรรมญาณจะกลับคืนเบื้องบนได้อย่างไร ?...
            คนที่กายใจสะอาดบริสุทธิ์อย่างแท้จริงจะต้องไม่บริโภคเนื้อสัตว์  และไม่พูดมักง่ายตามใจปาก  ไม่พูดนินทาว่าร้าย ไม่พูดคำโกหกหลอกลวง..
            โลกกำลังประสบภาวะคับขัน  ความเคียดแค้นของสัตว์ทำให้เกิดภัยพิบัติทั่วโลก  ยิ่งมาก็ยิ่งมาก...
            โรคภัยไข้เจ็บในตัว โรคแปลกๆ นับวันก็ยิ่งมาก เพราะว่าไอแห่งความแค้นไม่อาจลบล้างได้...
             คนทั่วไปไม่เกรงกลังบาปกรรม สร้างกันไม่หยุดหย่อน ฆ่ากันทำร้ายกัน  ถึงแม้การกินเนื้อสัตว์มิใช่การฆ่าโดยตรง  แต่บาปกรรมที่ก่อขึ้นนั้น  ส่วนหนึ่งคือคนฆ่า อีกส่วนหนึ่งคนกินต้องแบกรับ  นี่คือการเกิดขึ้นของกรรมร่วม...
            ดังนั้น  ขณะเจ้ากรรมนายเวรทวงหนี้ แม้จะอยู่ต่างสถานที่กัน ไม่รู้จักกัน  แต่ต้องมารับกรรมร่วมกัน   รับผลกรรมสนองด้วยกัน นี่คือ กรรมร่วมของการทวงหนี้ !...
            พันหมื่นปีที่เวไนยกินเนื้อสัตว์ ทำให้เกิดหนี้กรรมทับถมดั่งทะเล แต่ความอาฆาตแค้นของสัตว์นั้นสูงเทียมฟ้า  จึงเป็นเหตุให้เกิดกฎแห่งกรรมมิจบสิ้น..
       

เบียดเบียนสัตว์...นำมาซึ่งภัยพิบัต

           ท่านได้เหยียบย่ำทำร้ายสิ่งใดบ้าง เคยนึกไหม ?...
           ความเมตตา  อย่าคิดแค่ใจสงสารเมตตา  แต่ต้องออกมาจากทุกส่วนของการกระทำส่วนลึกในใจไม่ใช่แค่พูด หรือแค่แผ่แมตตาปล่อยสัตว์...
           ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถบังคับได้ ท่านก็อาจจะบอกว่า "อย่าทานเนื้อสัตว์เลย !..."  แต่ทำไมท่านไม่กล้าที่จะออกกฏบังคับ  นั่นเป็นเพราะว่า  ความแมตตานั้นไม่ได้เกิดจากการบังคับการกดขี่ข่มเหง...
           แต่เมตตาที่แท้จริงหรือเมตตาอันบริสุทธิ์  ต้องออกมาจากส่วนลึกของจิตใจ จากมโนธรรมสำนึกที่เรามีอยู่...
           นั่นถึงจะเรียกว่าเป็นเมตตาที่แท้ เป็นเมตตาที่สว่างไสว !...
           ฉะนั้น  ตอนนี้เรารู้แล้วว่า การเบียดเบียนสัตว์เป็นสิ่งที่ไม่ดี มีแต่ทำร้ายเขา ทำให้เขาเจ็บปวด น้ำตาไหล...
           เราอาจจะมองไม่เห็น  แต่ใจส่วนลึกของสรรพสัตว์ต่างก็ต้องมีความเจ็บปวดด้วยกันทั้งนั้น...
           สิ่งศักด์สิทธิ์ไม่ได้ต้องการบังคับให้เลิกทานเนื้อสัตว์  แต่ต้องการเรียกร้องความเมตตา  เรียกร้องมโนธรรมสำนึกที่อยู่ในจิตใจย้อนมองดูว่า  ความเจ็บปวดที่เราโดนนั้นเป็นอย่างไร แล้วสรรพสัตว์เจ็บปวดกับที่เราโดนนั้นแตกต่างกันอย่างไร...
           แค่เราโดนมีดบาดนิดหน่อยเราก็เป็นเดือดเป็นแค้น แต่ถ้าโดนพรากชีวิตทั้งชีวิต  พรากจากพ่อแม่ลูกหลาน เราจะรู้สึกอย่างไร ?...
           การสูญเสียนั้นมีแต่ความเสียใจ  ความหดหู่ !...
           ฉะนั้น  เราลองถามตนเองว่าถ้าเราไม่อยากสูญเสีย ไม่อยากพลัดพราก แล้วตัวเราได้เป็นต้นเหตุให้คนอื่นหรือสรรพสัตว์ต้องสูญเสียหรือพลัดพรากบ้างหรือเปล่า ?...

เชื้อโรค...นำมาซึ่งภัยพิบัติ

            เมื่อสัตว์ถูกฆ่าตาย เชื้อโรคต่างๆ ก็สามารถแทรกตัวเข้าไปแพร่เชื้อในเนื้อสัตว์โดยที่ตาเรามองไม่เห็น..
            สัตว์ทุกตัวนั้นมีวิญญาณที่ฝังตราบาปติดตัว มนุษย์ยังไปเพิ่มกรรมแห่งการฆ่าซ้ำอีก กฎแห่งกรรมจึงเกิดขึ้น  บาปกรรมท่วมท้นไวไนยสัตว์ที่เวียนว่ายในวัฏฏะสงสารล้วนแบกหนี้กรรมติดตัวมาเกิดทั้งสิ้น  อันที่จริง  ร่างกายของสัตว์ก็คือแหล่งเพาะเชื้อโรคและพยาธิต่างๆ หลายชนิด..
             โรคทั้งหลายล้วนเกิดจากพยาธิที่อาศัยอยู่ในร่างกายสัตว์ สัตว์ที่ตายด้วยโรค ซากของมันก็จะเต็มไปด้วยเชื้อโรคต่างๆ ถ้าหากไม่รีบกำจัด  เชื้อโรคที่อยู่ในตัวสัตว์ก็จะพันธุ์กลายเป็นเชื้อร้ายในที่สุด..(คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้เลยว่าเนื้อสัตว์ที่กลืนเข้าไปนั้นป่วยตาย มีทั้งเชื้อมะเร็งและเนื้องอกจากสัตว์ติดมาด้วย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าสัตว์ป่วยตาย คนขายก็ยังเอามาขายปนกันเพราะไม่ยอมขาดทุน)
              เชื้อร้ายอย่างมากก็เป็นแค่เชื้อโรคธรรมดาๆ แต่ "หนี้กรรม" และ "วิบากกรรม"  ที่ติดตามมากับชิ้นเนื้อนั้นยังไปเพิ่มฤทธิ์ให้เชื้อโรคแรงขึ้นหลายเท่าตัว อันเป็นผลมาจาก การทวงหนี้กรรม...
              ดังนั้น เชื้อโรคก็สามารถเป็นสื่อให้กับเจ้ากรรมนายเวรใช้เป็นเครื่องมือทวงหนี้เวรกรรมได้เช่นกัน..
              เชื้อโรคไม่อาจเห็นด้วยตาเปล่า หนี้กรรมไร้รูปลักษณ์ก็เช่นกัน เป็นเหมือนลม มันสามารถยืมโมเลกุลเล็กๆ ของละอองฝุ่นในอากาศแล้วแทรกตัวซึมเข้าไปใต้ผิวหนัง หรือเกาะตามเส้นผม รูขุมขน ตามซอกเล็บ จนในที่สุดก็ทำให้คนติดเชื้อโรคได้...

โลภโกรธหลง..นำมาซึ่งภัยพิบัติ

ความโลภ ความโกรธ ความหลง !...
เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครที่ตัดมันขาดเลย
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้ามีมากเกินก็เรียกว่า..
ไม่เจียม เจ็บไม่จำ !...
              แล้วเรารู้สึกไหมว่าคนประเภทนี้เหมือนคนที่หน้ามือตาบอด เหมือนคนที่ทำร้ายตัวเอง เราจะเปรียบเทียบให้ง่ายๆ คนที่โลภโกรธหลงเหมือนอะไร ?...
              ถ้าเทียบกับธรรมชาติ ความโกรธเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยง !...
              เสียงมาก่อนตัวทุกที เวลาคนโมโหเสียงมาก่อนตัวไหม ?...
              บางทีได้ยินเสียงก็รู้ว่าตอนนี้แม่โกรธอยู่ ตัวยังไม่มาแต่รู้เลยว่าโกรธมาแต่ไกล แล้วแม่ค่อยมาปรากฏตัว...
              ดังนั้น เขาจึงบอกว่าความโกรธเหมือนฟ้าผ่า หรือบางคนอาจจะเปรียบ ความโกรธเหมือนไฟ เข้าใกล้ใครก็เป็นจุล ไหม้ไปหมด..
              แต่ในความโกรธนั้นสามารถฝึกตัวเราได้อย่างหนึ่ง..
              ถ้าเขาโกรธแล้วเราไม่โกรธตอบ  เราจะเป็นผู้ชนะที่ชนะเหนือสงครามใดๆ ในโลก เพราะเราชนะตัวเอง !...
              ช่วงที่เขาโกรธอยู่นั้น เราพยายามข่มใจไม่โกรธตอบ เราจะสามารถสร้างคุณให้เขาได้ด้วย...
              แต่ช่วงที่เขาโกรธแล้วเราโกรธตอบ เราชั่วยิ่งกว่าเขา...
              ฉะนั้น  ช่วงนั้นจะเป็นช่วงที่วัดตัวเราว่าเราจะดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะขุดตัวเองฝังลงไป หรือว่าจะฉุดตัวเองให้ตื่นขึ้น...
               นี่คือโทษของความโกรธ และในโทษของความโกรธนั้นยังก่อให้เกิดอะไรอีกมาก  โทษของความโกรธจะก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักกี่กัปกี่กัลป์...
                ถ้าเราไม่รู้จักเลิกโกรธเขาได้ เพราะว่าฆ่ามาแล้วฆ่าตอบโกรธมาแล้วโกรธตอบ ร้ายมาแล้วร้ายตอบ ท่านจะอยู่ในวังวนแห่งวัฎฎะไม่จบไม่สิ้น... ท่านก็ต้องติดอยู่แต่ในความโกรธนั้น !..
                แต่ความโกรธก็สามารถฝึกตัวเราได้อย่างหนึ่ง ถ้าเขาโกรธแล้วเราไม่โกรธตอบ โกรธมาเราเย็นตอบ ร้ายมาเราดีตอบ...
                อยากตัดภพตัดชาติไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดก็ต้องอย่าโกรธตอบ แม้เขาจะร้ายมาโกรธมา จำไว้นะ !...

ต่อไป  ความโลภ !...
               เหมือนอะไรในธรรมชาติ...เหมือนฝนมั้ย ฝนตกน้อยๆ เรารู้สึกยินดี ความโลภเวลาโลภน้อยๆ โลภพอแต่เพียงรู้สึกเย็นสบายใจ ทำให้เราอยู่ได้...
                แต่ถ้าอยากมากเกินไป อยากจนเบียดเบียนคนอื่น มักจะกิดภัยพิบัติ..
                สังเกตสิว่าคนที่อยากมากๆ แล้วไม่สนใจผู้อื่น ก็มักจะทำร้ายคนให้เจ็บปวดเพราะความอยากจริงไหม ก็เหมือนกับฝนตกพรำๆ ตกเล็กๆ น้อยๆ แต่ถ้าตกหนักๆ ไม่มีวันหยุด อยากแบบไม่รู้จักพอ ตกทั้งคืนทั้งวัน เกิดภัยไหม ?...  เรียกว่า ?...(ภัยพิบัติ)

ความหลง  เหมือนอะไรในธรรมชาติ....
เหมือนหิมะ เหมือนมั๊ย ?...
หิมะชอบตกมืดๆ ตกตอนเย็นๆ ตกแล้วทำให้มองอะไรไม่เห็นไม่ชัด แต่ดูเหมือนชัด ขาวๆ ไปหมด แล้วยิ่งถ้าเข้าไปเล่นด้วย อาจทำให้เราตายทั้งเป็นได้..
                สังเกตุดูว่าคนที่ตายในหิมะยังดูสวยอยู่เลยจริงไหม ?...
                คนที่ตายเพราะความหลงก็ยังดูสวย  แต่ตายแล้วตายทั้งเป็น คิดให้ดีๆ นะ เพราะว่ามนุษย์ตายเพราะความโลภโกรธหลงมานักต่อนักแล้ว...
                อาจจะไม่ถึงตาย แต่ก็เจ็บปางตาย ใช่หรือไม่ ?...
                เราก็รู้วิธีหยุดความโกรธแล้ว ความโลภเล่าจะหยุดอย่างไร ง่ายๆ แค่สองประโยคคือ...
                พอใจในสิ่งที่มี ยินดีกับสิ่งที่ได้รับ  ถ้าทำสองอย่างนี้ได้เราจะลดความโลภได้ หรือให้รู้จัก"สมถะ"   เพราะเมื่อรู้จักสมถะ ความโลภก็จะไม่ครอบงำตัวเราได้... แต่ความหลงนี่จัดการยาก เพราะว่ามนุษย์เกิดขึ้นมาด้วยความรัก แล้วถูกหล่อเลี้ยงมาจากความรัก...  เราเติบโตเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะความรักของพ่อแม่...มนุษย์ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กแรกเกิดก็อยากได้ความรัก...
                ถึงแม้พ่อจะกอดแล้ว แม่จะกอดแล้ว ลูกก็ยังร้องไห้อยากให้กอดอีกนานๆ ยิ่งแม่กอดด้วยให้นมลูกไปด้วย ลูกก็ยิ่งนอนหลับอย่างสบายใช่ไหม ?...
                 แม้แต่ตอนี้แก่แล้ว ถามจริงๆ ยังอยากได้ความรักไหม ?...   (อยากได้)   ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยความรัก แล้วก็อยากให้ความรักนั้นฟูมฟักอยู่ แต่ผลสุดท้ายก็ต้องตายเพราะรัก...
                 เพราะอะไรถึงตายเพราะรัก ?...
                 เพราะท้ายที่สุดชีวิตของมนุษย์ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ถูกหรือไม่ เพราะรักเป็นจึงหลงได้ ถ้ารักไม่เป็นก็หลงไม่ได้...
                 ฉะนั้น จงแยกให้ออกระหว่าง "รัก"   กับ   "หลง"  เมื่อรักแล้วเหมือนพ่อแม่รักลูก แต่ก็ยังรู้ว่าลูกมีอะไรดี อะไรไม่ดี...
                 แต่หลงนั้นแยกไม่ออกว่าอะไรดี อะไรไม่ดี !...
                 รู้แต่เพียงว่า เขาดีเขาสวยอย่างเดียว...


เมียทิ้ง
ประชดจับลูกกรอกยาพิษตายด้วยกัน
              พ่อผสมยาพิษกับน้ำอัดลมให้ลูกสาววัย 7 ขวบดื่ม จากนั้นก็กินยาพิษตาม แล้วนอนกอดลูกเสียชีวิตไปด้วยกัน..
              ทั้งนี้ผู้ตายได้เขียนจดหมายถึงคนชื่อ "หวาน" ซึ่งเป็นภรรยาที่หนีไปอยู่กับญาติ เนื่องจากทะเลาะกันรุนแรงจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ โดยระบุว่าเหตุที่ต้องทำเช่นนี้เป็นเพราะรักและหวงหวานจนเกินไป...
                 ส่วนสาเหตุที่ต้องให้ลูกกินยาตายด้วย เพราะเป็นห่วงลูกซึ่งเป็นผู้หญิงและยังเล็กเกินไปที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่อยากให้ลูกรู้ปัญหาต่างๆ...

แรงกรรม...อกตัญญู

           นับแต่อดีตมา คนทำความดีแน่นอนย่อมจากโลกนี้ไปสู่ภพภูมิที่ดี แต่สำหรับคนที่กระทำความชั่วไว้ในขณะยังมีชีวิตเจตนาหรือไม่เจตนาก็ไม่อาจหนีกฏแห่งกรรมของฟ้าไปได้พ้น  โดยเฉพาะบาปกรรมที่กระทำกับผู้มีพระคุณหรือบุพการี ผลกรรมนั้นไม่ต้องรอถึงชาติหน้า จอขอนำเรื่องจริงเรื่องนี้มาเล่าเพื่อเป็นอุทาหรณ์คนสมัยนี้แก่วิชาทางโลก แต่อ่อนวิชาศีลธรรมขึ้นทุกวัน...
          เด็กสาวผู้อยู่ในวัยเรียน ได้คบหากับเพื่อนชาย โดยไม่ฟังคำทัดทานของแม่ แต่กลับทำร้ายแม่ให้ต้องเสียใจ ในที่สุดถูกหลอกไปขายตัวและตายด้วยโรค...
          สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้นำพาวิญญาณ "ลูกอกตัญญู" เข้าสู่สถานธรรมเพื่อสารภาพบาปที่ตนได้กระทำไว้ ขณะนั้นที่วิญญาณอาศัยร่างสามคุณคลานเข้าไปหาญาติธรมท่านหนึ่งเป็นหญิงวัย 54 ปี และร้องร่ำไห้ด้วยความเสียใจ..

วิญญาณบาป :
               ฮือๆๆ...ลูกมาหาแม่ในวันนี้ เป็นบุญสัมพันธ์ในอดีต...
               ทรมานเหลือเกิน...แม่อภัยให้ลูกน้อย หนูจะหาแม่..ฮือๆๆ
               ลูกอยากรับธรรมะ !...
               ชาติที่แล้วไม่ได้กตัญญู ไม่เชื่อฟังแม่...แม่บอกว่าอย่าแต่งงานกับผู้ชายเลวๆคนนั้น...ลูกก็ไม่เชื่อ !...ฮือๆๆ
               แม่ช่วยหนูด้วย มันทำร้ายหนู ช่วยหนูด้วย !...
               หนูอยากรับธรรมะ หนูเห็นชื่อแม่อยู่ในนรกด้วย แล้วอยู่ๆชื่อแม่ก็หายไป...หนูไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร...
              วันนี้เทพจี้กงแมตตา ให้หนูมาบอกแม่สร้างกุศล หนูจะได้พ้นจากนรกขุมนี้ !...

พระพุทธจี้กง :    อาจารย์นำพาดวงวิญญาณดวงนี้มาเพื่อให้ศิษย์เข้าใจ เวลามีจำกัด พบกันครั้งนี้เป็นบุญสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ขอให้เจ้ายึดโอกาสอันดีงามในครั้งนี้ เร่งสร้างบุญกุศลให้กับลูกในอดีตชาติ เพราะความหลงผิดชั่วขณะต้องตกไปในนรก เพราะความไม่กตัญญู ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณท่านให้ตลอด ชีวิตนั้นไม่ได้พบเจอแสงสว่าง...

วิญญาณบาป :    หนูอยากอยู่กับแม่ !...ฮือๆๆ
                           เมื่อก่อนอยู่เกาะคา บ้านเราก็ยากจนมาก มีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง แต่ก็มีความสุข !...
                           ตอนหลัง มีผู้ชายเข้ามา ผู้ชายเลวๆ คนนั้นหลอกหนูไป หนูไม่เชื่อแม่ตอนนั้น หนูยังว่าแม่ด้วย..หลงผิดไป !..ฮือๆๆ อยากมีเงิน อยากมีรถ อยากมีบ้านสวยๆ อยู่หนูก็เลยถีบหัวแม่ !..ยังว่าแม่ด้วย..  แม่พูดเท่าไหร่ หนูก็ไม่เชื่อ... ลูกอกตัญญูเหลือเกิน !  ฮือๆๆ  แล้วหนูก็ยอมไปกับผู้ชายคนนั้น..ไปใหม่ๆ มันก็ให้ข้าวให้ของใช้ ตอนหลังก็เอาหนูไปขายซ่อง จะหนีก็หนีออกไม่ได้...
                           หนูอยากกลับไปหาแม่หนูก็ไม่ได้กลับ พอหนีออกไปถูกจับได้ มันก็ตบตีบังคับขายตัว..
มันเลวมาก มันไม่ใช่คน !.. ไม่ยอมทำตามก็เอามีดมากรีด...ผลสุดท้าย หนูก็เป็นโรคหัวใจ..มันไม่ยอมปล่อยให้ไปหาหมอ มันให้หนูรับแขก...
                            สุดท้ายหนูก็ตายอยู่ในซ่องนั้น..
                            วันนี้มา...อยากให้แม่อภัยให้หนูด้วย...จนเดี๋ยวนี้พวกมันก็ไม่ได้ผุดได้เกิด !..ฮือๆๆ
                             หนูต้องไปรับทุกข์ในนรกฐานอกตัญญูต่อบุพการี  หนูสำนึกผิดแล้ว ขออาจารย์จี้กงเมตตาพาหนูมาหาแม่ มาขอบุญกุศล...หนูต้องไปแล้ว !..ฮือๆๆ
                             หนูชื่อทองดี อยู่เรือง..แม่ช่วยหนูนะ !...
                             แม่โชคดีจังเลย..แม่จ๋า แม่ช่วยหนูด้วยนะ.. แม่สร้างบุญสร้างกุศลเยอะๆ นะ แม่อย่าไปกินมันอีกนะเนื้อสัตว์ มันน่าสงสารตอนนี้หนูก็ไม่ต่างอะไรกับมัน ตอนที่มันโดนเฉือน !..

พระพุทธจี้กง :    เราอย่าคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น บรรพบุรุษของเราทั้งหลายนั้นกำลังรอรับบุญกุศลอยู่..ตอนนี้เราบำเพ็ญหนี้เวรกรรมตามทวงเร็วขึ้น 12 เท่า ..เจ้ายังจะเฉยอยู่ทำไม ?...
                           แผ่จิตเมตตาไปให้กับบรรพบุรุษของเราที่ล่วงลับไปแล้ว แผ่จิตเมตตาให้กับหนี้เวรกรรมต่างๆ จะได้ไหม ?...


 

อกตัญญู..นำมาซึ่งภัยพิบัติ

            ปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่าคนเรานั้นมักจะออกไปแสวงหาพระทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์...
            พระยิ่งเก่าเท่าไรยิ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ !...
            เพราะเชื่อว่า...พระพุทธรูปเหล่านั้นจะสามารถปกป้องคุ้มครองตนให้พ้นภัยพิบัติได้...
            แสวงหาแลกมาด้วยเงินเป็นแสนเป็นล้าน...
            ยิ่งแสวงก็ยิ่งไกลออกไป...ยิ่งแสวงยิ่งห่างจากพระพุทธะ...
            คิดหรือว่าเรายิ่งแสวงวัตถุภายนอกที่ทำด้วยอิฐ หิน ปูน ทรายนั้นจะช่วยให้เรานั้นพ้นเคราะห์ภัยได้...
            หลายคนแสวงแล้วต้องพบกับภัยพิบัติ ใช่หรือไม่...
            ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ชีวิตที่ไม่ราบรื่น เรารู้หรือเปล่าเกิดจากอะไร ?...
            ภัยพิบัติใกล้ตัวหรือไกลตัว ส่วนใหญ่แล้วมาจากความที่เรานั้นไม่มีความกตัญญู !...
            ไม่เชื่อในวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของบิดามารดา  บิดามารดาตักเตือนแม้คำพูดไม่หวานหู แต่ด้วยความรัก บุตรทั้งหลายกลับไม่สนใจ ภัยพิบัตินั้นจึงเกิดกับตัวเรา !...
             ย้อนคิดให้ดี ไม่ต้องหาไกลตัวเลย คุณงามความดีบุญกุศลนั้นอยู่ใกล้ในตัวกลับหลงลืมไป ยามพ่อแม่ยังอยู่นั้นขอให้ปฏิบัติความกตัญญูอย่างสุดกำลังใจ...
             การดูแลเพียงแค่กายสังขารอาหารสามมื้อ ปัจจัยสี่นั้นยังไม่เพียงพอ  จะต้องปฏิบัติธรรมบำเพ็ญธรรม นำธรรมะนี้ไปใช้ในครัวเรือน มีความนอบน้อมกตัญญูต่อบิดามารดาด้วยความจริงใจ...
             กายสังขารนี้ได้มา บิดามารดานั้นเป็นผู้ให้ จะต้องทะนุถนอมกายสังขารนี้นำมาปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม  ละเว้นสิ่งที่เป็นอบายความชั่วต่างๆ...
             รู้ว่าทำผิดแล้วแต่ก็ยังชอบทำ  สิ่งใดไม่ดีเรานั้นรู้ตัวเอง หลีกห่างจากสิ่งไม่ดีหันมาทำความดีเถิด  พ่อแม่ยังอยู่ควรให้ความเคารพทะนุถนอมท่าน อย่ารอ !...
             ส่วนใหญ่แล้ว คนนั้นจะรอจนบุพการีลาลับแล้วจึงมาสำนึกมีประโยชน์หรือเปล่า สำนีกเสียใจร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดบุพการีจะฟื้นมาหรือเปล่า ?...
             ทำอาหารอย่างดีวางไว้ข้างโลงศพของบิดามารด ท่านได้รับหรือเปล่า ?...
             ยามอยู่ต้องดูแลท่านให้ดี ปรนนิบัติต่อท่านดังพระพุทธะองค์หนึ่ง เราทุกคนตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ล้วนมีความผิดบาปติดตัวกับบุพการี ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของบุพการีมากมาย...
             หนี้บุญคุณยังไม่ได้ชดใช้ หากเราผิด ทำให้บุพการีนั้นต้องเสียใจ ทำให้พ่อแม่ต้องหลั่งน้ำตา ความผิดบาปนี้ใครรับ....วิญญาณมากมายในนรกภูมิร้อนรุ่มทุกข์ทรมาน ส่วนหนึ่งนั้นก็คือ เป็นบุตรอกตัญญูต่อบิดามารดา...

ลูกทรพีคลั่งยาบ้า
คว้าท่อนไม้ฟาดพ่อ-แม่บังเกิดเกล้าดับ
               ลูกทรพีคลั่งน้ำกระท่อมให้ไม้ไล่ตีพ่อแม่ดับสยองคาบ้าน กระดูกหักทั้งตัว ศรีษะและกระโหลกเปิด  ภายในบ้านมีรอยเลือดกระจัดกระจาย  น้องชายของผู้ตายเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า "พี่เขยและพี่สาวผมมาขออยู่ด้วยเพราะเกรงว่าจะถูกลูกทำร้าย และเป็นไปอย่างที่คิด หลังจากที่เมากระท่อมได้เข้ามาด่าพ่อแม่ก่อนที่จะใช้ไม้ท่อนเขื่องปรี่เข้ามาทุบตีอย่างไม่ยั้ง  ตอนนั้นผมวิ่งไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน  แต่พอกลับมาหลานชายผมได้ฆ่าพ่อแม่ของเขาไปแล้ว"

รุมสาปแช่งลูกทรพี
ทุบหัวพ่อดับคาบ้าน-แค้นถูกสั่งสอน
               ตำรวจรวบหนุ่มใหญ่วัย 30 ใช้ก้อนอิฐและครกทุบหัวพ่อบังเกิดเกล้าเสียชีวิตคาบ้าน ขณะนั่งก๊งเหล้าขาว สารภาพเป็นคนลงมือจริง เหตุแค้นพ่อสั่งสอนให้ทำงานหาเงินมาซื้อข้าวสาร จึงโมโหคว้าครกทุบหัวพ่อดับ จากนั้นได้ใช้ก้อนอิฐบล็อกที่อยู่ใกล้มือทุบบริเวณศรีษะและใบหน้าไม่ยั้งมือ จนพ่อนอนแน่นิ่งและเสียชีวิต จากนั้นตนก็เดินไปหน้าบ้านนั่งดื่มสุราต่อ
               ขณะแม่เดินทางไปเยี่ยมลูกใจบาปยังขู่ฆ่าแม่ซ้ำ ชาวบ้านรุมสาปแช่ง  ขณะทำแผนประกอบการรับสารภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

เห็นแก่ตัว...นำมาซึ่งภัยพิบัติ

เห็นแก่ตัว...นำมาซึ่งภัยพบัติ
บนโลกนี้ ถ้ามีแต่สัตว์และธรรมชาติ...
ทุกอย่างบนโลกนี้ก็สมดุลอยู่แล้วจริงมั้ย ?...
ธรรมชาติเขาจะอยู่กันอย่างสมดุลอยู่แล้ว  แต่ถ้ามีมนุษย์อยู่ตรงไหน ตรงนั้นนั่นแหละก็มักจะไม่สมดุล...
ยิ่งมีมนุษย์ตรงไหนมาก ยิ่งมีการทำลายมาก...
ทำลายแล้วไม่สร้าง ไม่ปรับความสมดุล...
ความสมดุลของธรรมชาติจะคงอยู่ได้อย่างไร...
เพราะมนุษย์ส่วนใหญ่โลภ  อยากได้อะไรมากๆ ก็จึงเกิดการทำลาย และเบียดเบียนกันมาก..
             เคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าฟ้าได้ส่งสัญญาณเตือนมนุษย์มาครั้งแล้วครั้งเล่า !      มนุษย์จะรู้สึกกันบ้างหรือเปล่าว่า...
             ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้  ไม่ว่าจะเป็นพายุ น้ำท่วม ภัยพิบัติต่างๆ คลื่นสึนามิ แผ่นดินไหว เชื้อโรคต่างๆ ไข้หวัดนก โรคซาร์ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
             
             มนุษย์รู้ว่าเชื้อโรคเป็นไวรัส รูปร่างเป็นเช่นนั้น เช่นนี้...
             แต่มนุษย์รู้ไหมว่า ทำไมต้องมีโรคนั้น โรคนี้ ?..
             โรคนี้มีมาเพื่ออะไร ใครส่งมา ส่งมาทำไม ?...
             มนุษย์เคยสังเกตเรื่องนี้บ้างมั้ย ?...
             เป็นเพราะมนุษย์โลภเกินไป เห็นแก่ตัวเกินไป ทำลายธรรมชาติมากเกินไป...
             ซึ่งมนุษย์ก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้ว...
             ฟ้าส่งมนุษย์มาเพื่อให้มนุษย์ลงมาฝึกความเป็นผู้ให้ แต่ มนุษย์กำลังแย่งชิงการเป็นผู้เอา !...
             หาผลประโยชน์ให้แก่ตัวเองเพียงอย่างเดียว...
             เห็นแก่ตัวกันมากขึ้น มากขึ้น !...
             โดยไม่คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและธรรมชาติ...
              มนุษย์บนโลกปัจจุบันเป็นทุกข์กันมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ...

ทำแท้งสยองตะลึงพบศพทารก 2,002 ศพ

             ข่าวใหญ่ในรอบปีกับการพบศพทารก 2,002 ศพ ที่ถูกซุกไว้ในโกดังเก็บศพ ภายในวัดไผ่เงิน ย่านบางคอแหลม กรุงเทพฯ..
             เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึง ปัญหาอันฟอนเฟะของสังคมไทย ได้เป็นอย่างดี ทั้งสลดใจและสยอดสยอง !...
             จุดเริ่มของคดีเกิดขึ้นเมื่อชาวบ้านผ่านไปพบถุงพลาสติกทิ้งไว้หน้าโกดังเก็บศพวัดไผ่เงินฯ หลังจากมีสุนัขคาบออกมา เมื่อเปิดถุงดูก็ถึงกับผงะเมื่อพบว่าในนั้นเป็นศพเด็กทารกแรกเกิดซุกอยู่ เจ้าหน้าที่ตรงเข้าค้นในโกดังเก็บศพช่องที่ 17 ซึ่งมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา ประตูเปิดอ้าอยู่ มีคราบเลือด คราบน้ำเหลืองไหลเยิ้ม ทุกคนถึงกับผงะเมื่อพบว่าในช่องเก็บศพมีถุงพลาสติกกองพะเนินเทินทึกนับได้ 250 ถุง ในนั้นมีทั้งซากทารกที่สมบูรณ์ ชิ้นเนื้อ ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด ไปยันกระโหลกอ่อนทารก ซากที่สมบูรณ์อายุประมาณ 6-7 เดือน..
             สัปเหร่ ยอมรับว่าเป็นคนเอาศพเด็กเหล่านี้มาซุกไว้จริงก่อนหน้านี้ทยอยเผาไปแล้วบางส่วน หาจังหวะตอนปลอดคนบ้าง กลางคืนบ้าง แต่ปรากฏว่า ช่วงหลังเมรุที่วัดเสียเลยไม่ได้เผา จึงซุกศพเอาไว้จนเน่าคาโกดัง โดยศพทารกเหล่านี้รับมาจากคลินิกทำแท้งหลายแห่ง ได้ค่าจ้างศพละประมาณ 200-300 บาท สุดแล้วแต่ว่าทางคลินิกจะเอามาส่งหรือให้ไปรับก็พร้อมบริการ...
             หลังจากนั้นสัปเหร่อยอมเปิดปากเล่าอะไรมากขึ้น ระบุว่านอกจาก 348 ศพที่พบแล้ว ยังมีศพเด็กอีกนับพันซุกซ่อนไว้ในโกดังเดียวกัน ทำแบบนี้มานานกว่า 6 ปีแล้ว เก็บจนไม่มีที่จะเก็บ ซึ่งการซุกศพทารกไว้แบบนี้ สัปเหร่อบอกว่าแนบเนียนมาก เพราะไม่มีใครคอยสังเกตและกล้าเข้าไปดู เพราะโกดังเก็บศพก็เหม็นกลิ่นศพพอตัวอยู่แล้ว ไหนจะยังมีเรื่องเล่าผีๆ สางๆ ยิ่งไม่มีใครกล้าเข้าไปวุ่นวาย
              แต่แล้วความก็มาแตกจนได้ !...ตำรวจยกโขยงไปพิสูจน์ความจริงในทันใด เมื่อไปถึงพบว่าที่ช่องเก็บศพมีสนิมเกาะเกรอะกรัง เมื่อเปิดประตูออกทุกคนถึงกับเบนหน้าหนี เมื่อพบถุงพลาสติกหลากสีซุกซ่อนอยู่นับพันถุงเบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ในนั้น แกะมานับรวมกันแล้วพบศพทารกถึง 1,656 ศพ รวมของเก่า 348 ศพ ยอดพุ่งทะลุเกิน 2,000...