วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554
คิดบำเพ็ญ... ยังไม่สาย
พระโอวาทองค์อมตะพฤฒาชันษาเจ้าแห่งทักษิณาลัย
ยุคนี้เป็นยุคสุดท้าย ขอจงฝึกหัดปล่อยวางความยึดติดกับวัตถุภายนอก ยึดติดกับเรื่องราวต่างๆ ยึดติดกับเงินทอง...
เพราะหากเรายังยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ ยุคปลายท้ายแล้ว ค้นหาญาณแท้เดิม ปล่อยวาง..ปล่อยวาง
หากเราไม่เร่งบำเพ็ญในชาตินี้ เมื่อละกายสังขารไปจะนั่งเสียใจภายหลังก็สายเกิน...
คิดบำเพ็ญตั้งแต่วินาทีนี้ เวลาเหลือเพียงอีกน้อยนิด...
ช่วงเวลาเพียง 40 , 50 ปีนั้น เราลองคิดดูว่าเราได้สร้างบาปกรรมมาเท่าไหร่แล้ว... วันนี้ วินาทีนี้ นับจากนี้ไปเร่งสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง..
หากเราไม่เร่งสร้างบุญสร้างกุศล เมื่อจากไปจิตญาณของเราก็จะลำบาก เพราะว่าเมื่อเราจากไปแล้วเราไม่สามารถเอาอะไรกลับไปได้นอกจาก กรรมที่เรามี บุญกุศลที่เราสร้าง...
ยุคนี้เป็นยุคสุดท้าย ขอจงฝึกหัดปล่อยวางความยึดติดกับวัตถุภายนอก ยึดติดกับเรื่องราวต่างๆ ยึดติดกับเงินทอง...
เพราะหากเรายังยึดติดกับสิ่งเหล่านี้ ยุคปลายท้ายแล้ว ค้นหาญาณแท้เดิม ปล่อยวาง..ปล่อยวาง
หากเราไม่เร่งบำเพ็ญในชาตินี้ เมื่อละกายสังขารไปจะนั่งเสียใจภายหลังก็สายเกิน...
คิดบำเพ็ญตั้งแต่วินาทีนี้ เวลาเหลือเพียงอีกน้อยนิด...
ช่วงเวลาเพียง 40 , 50 ปีนั้น เราลองคิดดูว่าเราได้สร้างบาปกรรมมาเท่าไหร่แล้ว... วันนี้ วินาทีนี้ นับจากนี้ไปเร่งสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตนเอง..
หากเราไม่เร่งสร้างบุญสร้างกุศล เมื่อจากไปจิตญาณของเราก็จะลำบาก เพราะว่าเมื่อเราจากไปแล้วเราไม่สามารถเอาอะไรกลับไปได้นอกจาก กรรมที่เรามี บุญกุศลที่เราสร้าง...
เจ้าทั้งหลายต่างกลัวนรก
แต่เจ้ารู้ไหมว่า
หนทางแห่งชีวิตที่ผ่านมา
ได้ปูทางของนรกแล้วครึ่งชีวิต !
พระพุทธจี้กง
วันลาโลก ของอเล็กซานเดอร์มหาราชผู้ยิ่งใหญ่
แม้บัญชาสวรรค์จะให้พระองค์มีชีวิตอยู่ได้เพียง 33 ปี พระองค์ไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่พระองค์เสียใจที่สุดก็คือ พระองค์ได้เห็นสัจธรรมแท้จริงของโลกแค่เพียงนาทีสุดท้ายก่อนสิ้นลม
อเล็กซานเดอร์มหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ภายหลังจากที่ได้เข้าครอบครองอาณาจักรน้อยใหญ่มากมาย ในระหว่างเดินทางกลับพระองค์ทรงล้มป่วยลง และต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานนับเดือน
เมื่อความตายกำลังใกล้เข้ามา อเล็กซานเดอร์ทรงรำพึงกับตนเองว่า.. "ไม่ว่าชัยชนะที่ได้มามากมายเท่าไหร่ หรือกองทัพอันเกรียงไกรแค่ไหน แม้แต่ดาบอันคมกริบหรือสมบัติมากมายที่มีอยู่หาได้มีประโยชน์อันใดไม่..."
พระองค์เรียกแม่ทัพทั้งหลายเข้ามาเพื่อรับสั่ง...
"ข้าคงจะต้องจากโลกนี้ไปในไม่ช้า แต่ข้ามีความประสงค์อยู่สามประการที่ต้องดำเนินการให้สำเร็จ อย่าขาดแม้แต่สิ่งเดียว" ด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของพระองค์ แม่ทัพทุกคนเห็นพ้องกันที่จะยึดถือและทำให้สำเร็จตามพระประสงค์นั้น...
"ความประสงค์ข้อแรกของข้าก็คือ : ...
ให้แพทย์ที่เป็นผู้รักษาข้าเป็นผู้แบกหีบศพของข้า...
ประการที่สอง : .....
ระหว่างทางที่นำหีบศพของข้าไปฝัง ให้โปรยเงินทองและเพชรนิลจินดาที่ข้าสะสมไว้ในท้องพระคลัง...
ประการสุดท้าย : ...
ปล่อยมือทั้งสองข้างของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ
บรรดาข้าราชบริพารทั้งหลายที่ได้รับฟังพระบัญชาต่างสงสัย กับพระประสงค์สามประการของพระองค์ แต่ไม่มีใครกล้าถาม..
แม่ทัพคนโปรดของพระองค์ทรงจุมพิตมือของพระองค์แล้วนำไปประทับที่หน้าอก กล่าวว่า..."มหาราชของข้า พระประสงค์ของพระองค์จะได้รับการตอบสนองอย่างแน่นอน แต่บอกข้าหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพระองค์จึงมีพระประสงค์เช่นนั้น.."
ถึงตอนนี้อเล็กซานเดอร์ได้ถอนหายใจลึกๆ และกล่าวว่า...
"ข้าอยากให้โลกได้รับรู้บทเรียนของข้าสามประการ...
ข้าให้แพทย์ผู้รักษาเป็นผู้แบกหีบศพ เพื่อให้ผู้คนรู้ว่า ไม่มีแพทย์คนไหนที่จะรักษาโรคให้หายขาดไปได้ แพทย์เหล่านั้นเขาไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ที่จะหยุดยั้งความตาย หรือยื้อชีวิตจากความตายได้ฉะนั้น ขออย่ายื้อชีวิตใครให้คงอยู่ตลอดไปเลย...
ข้าอยากให้โปรยเพชรนิลจินดาในระหว่างทางที่ไปยังสุสานของข้า เพื่อบอกผู้คนทั้งหลายให้รู้ว่า แม้นเพียงเสี้ยวของสิ่งมีค่าเหล่านี้ ข้าก็ยังนำไปด้วยไม่ได้... ประชาชนจะได้ตระหนักว่ามันเป็นการเสียเวลาเปล่าที่จะสะสมความมั่งคั่ง...
และความประสงค์ข้อสุดท้ายที่ขอให้นำมือทั้งสองข้างของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ เพื่อให้ผู้คนรู้ไว้ว่า ข้ามามือเปล่าและข้าก็จากโลกนี้ไปด้วยมือเปล่า !...
สุดท้ายในคำกล่าวของอเล็กซานเดอร์...
"ขอให้ฝังศพข้า ไม่ต้องสร้างอนุสาวรีย์ใดๆ ปล่อยให้มือของข้ายื่นออกมาจากหีบศพ เพื่อที่โลกจะได้รู้ว่าบุคคลผู้ซึ่งเอาชนะมาแล้วทั้งโลก สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรติดมือไปแม้แต่น้อย !.."
เริ่มต้นใหม่..ยังมีโอกาสเสมอ
พระโอวาทพระทธจี้กง
เราลองมองดู มีภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย...
เรากลัวไหม ?..(กลัว) กลัวอะไร ?...
กลัวว่าวันหนึ่งภัยพิบัติมาถึงเรา เราต้องตายก่อน !...
ถามว่า...มีคนพูดว่าเดี๋ยวภัยพิบัติจะเกิด เดี๋ยวโลกจะแตก เดี๋ยวประเทศนั้นน้ำท่วม เดี๋ยวประเทศนี้ไฟไหม้ แผ่นดินไหว...
เราเคยได้ยินข่าว เวลาเราดูข่าว เวลาเราได้ยินคนอื่นพูดถึงเรารู้สึกหวาดกลัว ที่เรากลัว กลัวอะไร
(เมื่อเวลานั้นมาถึง ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม)
เพราะว่าเรายังตั้งตัวไม่ทัน ใช่ไหม ที่เรากลัวเพราะเรากลัวว่าเวลาที่เหลือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ยังไม่รู้เลยว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ยังไม่ได้รับคำตอบให้กับชีวิตตัวเราเอง...
กลัวว่าสิ่งนั้นมาถึง ชีวิตเราก็จบสิ้นก่อน ใช่ไหม ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้ว...
ภัยพิบัติข้างนอกใช่ว่าจะจบลง แต่กำลังเกิดขึ้นทุกวินาที...
และตอนนี้พระอาจารย์มาเตือนเราว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรากลัวว่าเราจะไม่สามารถปฏิบัติบำเพ็ญธรรมได้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นก่อน สิ่งที่เรากลัวอาจเป็นจริงก็ได้ !...
เพราะเราชะล่าใจกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
เราประมาทกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
เราผลัดวันกับภัยพิบัติตัวเองมากเกินไป...
ไม่แน่สิ่งที่เรากลัวอาจจะเป็นจริงก็ได้ เพราะภัยพิบัติไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไรเลย นอกจากกรรมร่วมของมนุษย์...
ใต้พิภพนี้มีมนุษย์ทั้งหมดเท่าไหร่ เรารู้ไหม ?...
และหนึ่งคนก็มีกรรมมีชะตาเป็นของตัวเอง จากหนึ่งคน สองคน สามคนอยู่ร่วมกัน กรรมนั้นจะยิ่งใหญ๋ขนาดไหน...
น่ากลัวไหม ?...
ถ้าเอากรรมของมนุษย์มารวมกันล่ะ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ต่างจากกรรมร่วมของมนุษย์ที่เป็นผู้สร้างขึ้น...
ใครตอบได้ 100% ไหมว่าเราไม่มีกรรมร่วมเลย ตอบได้ไหม ? (ไม่ได้) นับดูจำนวนคนแค่ไม่กี่คน ก่อขึ้นมาก็ยิ่งใหญ่...
เพราะฉะนั้น วันนี้จึงอยากบอกเราว่า สิ่งที่เราอยากจะทำทั้งสิ่งที่เราอยากจะเริ่มต้นใหม่ เราอย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป ไม่มีใครช่วยเราได้...
มัวแต่บอกว่าทำงานก่อน มีลูกมีครอบครัวก่อนค่อยมาบำเพ็ญ ใครจะรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ ใครจะตอบได้ เราจะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี 70 ปี
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เวลาที่เรามีอยู่จึงสำคัญมาก ขอให้เราคิดและพิจารณาให้ดีว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนต่อจากนี้ไป...
เราจะมัวแต่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำ เดี๋ยวค่อยบำเพ็ญ ไม่รู้เมื่อไหร่ธรรมะนี้จะมีโอกาสให้เราได้บำเพ็ญอีก แล้วจะมาเสียใจภายหลังคงไม่มีใครช่วยเราได้...
ถ้าหากพระอาจารย์ปล่อยวางแทนเราได้ พระอาจารย์จะรีบทำทันที แต่พระอาจารย์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เราต้องทำเอง เราต้องบำเพ็ญเอง เราต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ ?...
ทุกสิ่งทุกย่างเราเลือกเอง เราก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญเอง...
เพราะฉะนั้น เวลานี้ภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เราจะอยู่ถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ พระอาจารย์จึงอยากเตือนย้ำให้เรากระตือรือร้นกับใจของเราอีกสักนิดหนึ่งว่ายุคนี้ยุคสุดท้ายจะมีเวลาให้เราบำเพ็ญถึงอีกเมื่อไรก็ไม่รู้...
ลมหายใจนี้จะสามารถถ่ายทอดออกไปแล้วก็กลับมาดำรงชีวิตของเราได้ถึงพรุ่งนี้ เราก็ยังไม่แน่ใจ และสิ่งที่เราสามารถทำได้ ในขณะนี้ก็คือ สามารถขัดเกลาใจตัวเรา เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด..
ชีวิตของเรายังเหลืออะไรที่เราต้องทำอีก สิ่งต่างๆ ภายนอกนั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริม นั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราเกิดมาบนโลกมนุษย์ นั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริมให้เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้เท่านั้นเอง...
แต่มนุษย์กลับทุ่มแทให้กับสิ่งเหล่านั้นมากเกิน จนไม่สามารถที่จะจดจำโลกภายในของตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ ลืมไปว่า...
แท้จริงแล้วจิตเดิมแท้ของเราอยู่ที่ไหน ?...
จิตเดิมแท้ของเราเป็นใครมาจากไหน ?...
เราไม่เคยถามตัวเองจริงๆ เราไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้เรารู้หรือยัง ?...
ขอให้เราย้ำเตือนกับตัวเองว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้าย อยากจะทำอะไรก็ขอให้รีบทำ และที่สำคัญอย่าประมาทกับชีวิตของตัวเราเอง เริ่มต้นใหม่ยังมีโอกาสเสมอ แต่ว่าถ้าหากสายเกินไปกลับมาก็คงไม่ทันแล้ว...
เราลองมองดู มีภัยพิบัติเกิดขึ้นมากมาย...
เรากลัวไหม ?..(กลัว) กลัวอะไร ?...
กลัวว่าวันหนึ่งภัยพิบัติมาถึงเรา เราต้องตายก่อน !...
ถามว่า...มีคนพูดว่าเดี๋ยวภัยพิบัติจะเกิด เดี๋ยวโลกจะแตก เดี๋ยวประเทศนั้นน้ำท่วม เดี๋ยวประเทศนี้ไฟไหม้ แผ่นดินไหว...
เราเคยได้ยินข่าว เวลาเราดูข่าว เวลาเราได้ยินคนอื่นพูดถึงเรารู้สึกหวาดกลัว ที่เรากลัว กลัวอะไร
(เมื่อเวลานั้นมาถึง ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม)
เพราะว่าเรายังตั้งตัวไม่ทัน ใช่ไหม ที่เรากลัวเพราะเรากลัวว่าเวลาที่เหลือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต ยังไม่รู้เลยว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ยังไม่ได้รับคำตอบให้กับชีวิตตัวเราเอง...
กลัวว่าสิ่งนั้นมาถึง ชีวิตเราก็จบสิ้นก่อน ใช่ไหม ถึงตอนนั้นจะแก้ไขอะไรก็ไม่ทันแล้ว...
ภัยพิบัติข้างนอกใช่ว่าจะจบลง แต่กำลังเกิดขึ้นทุกวินาที...
และตอนนี้พระอาจารย์มาเตือนเราว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ เรากลัวว่าเราจะไม่สามารถปฏิบัติบำเพ็ญธรรมได้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นก่อน สิ่งที่เรากลัวอาจเป็นจริงก็ได้ !...
เพราะเราชะล่าใจกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
เราประมาทกับชีวิตตัวเองมากเกินไป...
เราผลัดวันกับภัยพิบัติตัวเองมากเกินไป...
ไม่แน่สิ่งที่เรากลัวอาจจะเป็นจริงก็ได้ เพราะภัยพิบัติไม่ได้เกิดขึ้นจากอะไรเลย นอกจากกรรมร่วมของมนุษย์...
ใต้พิภพนี้มีมนุษย์ทั้งหมดเท่าไหร่ เรารู้ไหม ?...
และหนึ่งคนก็มีกรรมมีชะตาเป็นของตัวเอง จากหนึ่งคน สองคน สามคนอยู่ร่วมกัน กรรมนั้นจะยิ่งใหญ๋ขนาดไหน...
น่ากลัวไหม ?...
ถ้าเอากรรมของมนุษย์มารวมกันล่ะ และสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ต่างจากกรรมร่วมของมนุษย์ที่เป็นผู้สร้างขึ้น...
ใครตอบได้ 100% ไหมว่าเราไม่มีกรรมร่วมเลย ตอบได้ไหม ? (ไม่ได้) นับดูจำนวนคนแค่ไม่กี่คน ก่อขึ้นมาก็ยิ่งใหญ่...
เพราะฉะนั้น วันนี้จึงอยากบอกเราว่า สิ่งที่เราอยากจะทำทั้งสิ่งที่เราอยากจะเริ่มต้นใหม่ เราอย่ามัวแต่ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยไป ไม่มีใครช่วยเราได้...
มัวแต่บอกว่าทำงานก่อน มีลูกมีครอบครัวก่อนค่อยมาบำเพ็ญ ใครจะรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ ใครจะตอบได้ เราจะมีชีวิตอยู่ถึง 100 ปี 70 ปี
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เวลาที่เรามีอยู่จึงสำคัญมาก ขอให้เราคิดและพิจารณาให้ดีว่าเราจะเลือกเส้นทางไหนต่อจากนี้ไป...
เราจะมัวแต่บอกว่าเดี๋ยวค่อยทำ เดี๋ยวค่อยบำเพ็ญ ไม่รู้เมื่อไหร่ธรรมะนี้จะมีโอกาสให้เราได้บำเพ็ญอีก แล้วจะมาเสียใจภายหลังคงไม่มีใครช่วยเราได้...
ถ้าหากพระอาจารย์ปล่อยวางแทนเราได้ พระอาจารย์จะรีบทำทันที แต่พระอาจารย์ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เราต้องทำเอง เราต้องบำเพ็ญเอง เราต้องปล่อยวาง ใช่หรือไม่ ?...
ทุกสิ่งทุกย่างเราเลือกเอง เราก็ต้องพร้อมที่จะเผชิญเอง...
เพราะฉะนั้น เวลานี้ภัยพิบัติต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย เราจะอยู่ถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ พระอาจารย์จึงอยากเตือนย้ำให้เรากระตือรือร้นกับใจของเราอีกสักนิดหนึ่งว่ายุคนี้ยุคสุดท้ายจะมีเวลาให้เราบำเพ็ญถึงอีกเมื่อไรก็ไม่รู้...
ลมหายใจนี้จะสามารถถ่ายทอดออกไปแล้วก็กลับมาดำรงชีวิตของเราได้ถึงพรุ่งนี้ เราก็ยังไม่แน่ใจ และสิ่งที่เราสามารถทำได้ ในขณะนี้ก็คือ สามารถขัดเกลาใจตัวเรา เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด..
ชีวิตของเรายังเหลืออะไรที่เราต้องทำอีก สิ่งต่างๆ ภายนอกนั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริม นั้นไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราเกิดมาบนโลกมนุษย์ นั้นเป็นเพียงแค่ปัจจัยเสริมให้เราดำรงชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ได้เท่านั้นเอง...
แต่มนุษย์กลับทุ่มแทให้กับสิ่งเหล่านั้นมากเกิน จนไม่สามารถที่จะจดจำโลกภายในของตัวเราเองได้ด้วยซ้ำ ลืมไปว่า...
แท้จริงแล้วจิตเดิมแท้ของเราอยู่ที่ไหน ?...
จิตเดิมแท้ของเราเป็นใครมาจากไหน ?...
เราไม่เคยถามตัวเองจริงๆ เราไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำ ใช่หรือไม่ แต่ตอนนี้เรารู้หรือยัง ?...
ขอให้เราย้ำเตือนกับตัวเองว่ายุคนี้เป็นยุคสุดท้าย อยากจะทำอะไรก็ขอให้รีบทำ และที่สำคัญอย่าประมาทกับชีวิตของตัวเราเอง เริ่มต้นใหม่ยังมีโอกาสเสมอ แต่ว่าถ้าหากสายเกินไปกลับมาก็คงไม่ทันแล้ว...
วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554
สิ่งผิดพลาด...แก้ไขเสียใหม่
พระโอวาทพระโพธิสัตว์กวนอิม
เราอาจจะรู้สึกว่าเรายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ !...
เรายังมีบางอย่างที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ จะให้เราตัดใจในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
แต่ท่านอย่าลืมว่า อนิจจังเกิดขึ้นกับทุกๆคน สิ่งที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดกับตน นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด...
ท่านอาจจะวาดอนาคตกันไว้สักสิบปียี่สิบปี เราถึงจะมีใจบำเพ็ญธรรม เมื่อโอกาสนั้นมาเราจะตั้งใจบำเพ็ญธรรม...
แต่ขอถามว่า สิบปียี่สิบปีจะมีแน่นอนหรือเปล่า ?..
ชีวิตท่านยังจะมีลมหายใจอยู่จริงหรือเปล่า ?...
โอกาสที่ท่านจะได้บำเพ็ญยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
การกระทำความดีสร้างบุญกุศล ชำระในหนี้บาปเวรกรรมยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
อาจจะตั้งใจอยากจะทำบุญ อยากจะบำเพ็ญธรรมเพื่อพ่อแม่ เพื่อพี่น้อง ความตั้งใจดีๆ ถ้าหากท่านไม่รีบลุกขึ้นมาทำ รอแต่ให้ทุกอย่างพร้อมก่อนถึงยอมสละออกมาได้ เราคิดว่าโอกาสอย่างนั้นจะมาถึงหรือเปล่า ?...
กายสังขารจะสมบูรณ์อย่างนี้หรือเปล่า ?...
เราอย่าลืมว่าทุกคนที่เกิดมาล้วนมีเจ้ากรรมนายเวรการที่เขาจะมาทวงหนี้เอากับพวกท่านเขาบอกเราล่วงหน้าหรือเปล่า ?...
แล้วเรายังจะใจเย็นอยู่อย่างนี้ได้หรือเปล่า ?...
ตอนนี้เรื่องอะไรที่ควรสละได้ที่ควรเลิกละได้ พวกท่านควรกระทำก่อนหรือเปล่า ?...
แล้วอะไรที่เราควรจะเริ่มต้นทำขึ้นมาก่อน อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด อะไรที่เราทำได้ง่าย แล้วอะไรที่เราขาดไม่ได้ ?...
เราพอตอบได้หรือเปล่า ?..
เรากระทำกันอยู่ทุกวันหยุดไม่ได้แม้สักมื้อเดียว...(กินเนื้อสัตว์) เราไม่ได้ชดใช้กรรมเก่า เราก็อย่าได้สร้างในกรรมใหม่...
ในการกินของพวกท่านลดละได้ในหนี้ชีวิตของคนอื่นก็เป็นการไม่สร้างกรรมใหม่...
แต่หากวัน ๆ เอาแต่กินชีวิตคนอื่น หนี้เก่าไม่ชดใช้ หนี้ใหม่ก็สร้างขึ้นมา แล้วเมื่อไหร่ท่านจะหลุดพ้นได้จริงๆ แล้วเมื่อไหร่ท่านจะมีบุญกุศล เราหวังแต่บุญไม่อยากได้บาป แต่สิ่งที่เราทำสอดคล้องกันหรือเปล่า เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรื่องที่ทำอยู่ทุกวัน ปรับเปลี่ยนได้หรือเปล่า ?...
เมธีทุกท่านสิ่งที่เราเตือน สิ่งที่เราแนะนำไม่ใช่เป็นเรื่องยากหากอยากตัดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ก็ขอให้ตั้งใจทำ...
การทำร้ายเขาทั้งชีวิต ทุบหัวเขา ตัดขาเขา ควักไส้เขา ทรมานหรือเปล่า ถ้าเป็นเรา เราจะยอมหรือเปล่า ?...
หากเมธียังไม่ยอม แล้วพวกเขาจะยอมหรือเปล่า ความแค้นฝังลึก หากเราทำเขาย่อมจดจำได้ตลอด ทวงหนี้ไม่มีผิดเพี้ยน มีแต่เพิ่มไม่มีลด...
หวังว่าเราจะไม่เพิ่มหนี้กรรมให้กับตนเอง หากเราอยากจะบำเพ็ญจุดเริ่มต้นคือ "การกินเจ"...
หากทำได้เขาก็จะไม่ขัดขวางท่าน เขากลับจะส่งเสริมท่าน...
เราอยากให้เจ้ากรรมนายเวรส่งเสริมเราบำเพ็ญธรรมหรือ ขัดขวางไม่ให้เราบำเพ็ญธรรม ทุกอย่างอยู่ท่านเลือกเอง ให้เขาส่งเสริม เขาก็จะรอเอาบุญกุศลกับพวกท่าน แต่ถ้าท่านจะให้เขาขัดขวาง เขาก็คงจะเอาชีวิตของพวกท่านไป..
โอกาศอย่างนี้มันอยู่ใกล้ๆ ตัวท่านเอง เราอยากจะมีลมหายใจต่อไปเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล หรืออยากจะมีลมหายใจเพื่อให้เขามาทวงหนี้ ไม่รู้ว่าวันใด มาแบบไม่รู้ตัว...
สิ่งที่เรายึดติด สิ่งที่เรารัก เราก็ไม่ทันได้เอาไป ยังไม่ทันได้สั่งเสียเขาก็พรากเอาของเราไปแล้ว สิ่งที่สะสมมาทั้งชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว !...
หวังว่าเราอย่ารอให้เป็นอย่างนั้น เรามีสติในการดำรงชีวิตค่อยๆ ละ ค่อยๆ เลิก เพราะความตั้งใจของเรา ดีกว่าโดนฉุดดึงไปโดยไม่รู้ตัว...
หวังว่าเราจะยอมเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พลาดที่ผิดไปแล้วเราขอขมาสำนึกแก้ไขเสียใหม่อย่าปล่อยเลยตามเลย...
เราอาจจะรู้สึกว่าเรายังมีบางอย่างที่ยังไม่ได้ทำ !...
เรายังมีบางอย่างที่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ จะให้เราตัดใจในตอนนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
แต่ท่านอย่าลืมว่า อนิจจังเกิดขึ้นกับทุกๆคน สิ่งที่เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดกับตน นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนที่สุด...
ท่านอาจจะวาดอนาคตกันไว้สักสิบปียี่สิบปี เราถึงจะมีใจบำเพ็ญธรรม เมื่อโอกาสนั้นมาเราจะตั้งใจบำเพ็ญธรรม...
แต่ขอถามว่า สิบปียี่สิบปีจะมีแน่นอนหรือเปล่า ?..
ชีวิตท่านยังจะมีลมหายใจอยู่จริงหรือเปล่า ?...
โอกาสที่ท่านจะได้บำเพ็ญยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
การกระทำความดีสร้างบุญกุศล ชำระในหนี้บาปเวรกรรมยังมีอยู่หรือเปล่า ?...
อาจจะตั้งใจอยากจะทำบุญ อยากจะบำเพ็ญธรรมเพื่อพ่อแม่ เพื่อพี่น้อง ความตั้งใจดีๆ ถ้าหากท่านไม่รีบลุกขึ้นมาทำ รอแต่ให้ทุกอย่างพร้อมก่อนถึงยอมสละออกมาได้ เราคิดว่าโอกาสอย่างนั้นจะมาถึงหรือเปล่า ?...
กายสังขารจะสมบูรณ์อย่างนี้หรือเปล่า ?...
เราอย่าลืมว่าทุกคนที่เกิดมาล้วนมีเจ้ากรรมนายเวรการที่เขาจะมาทวงหนี้เอากับพวกท่านเขาบอกเราล่วงหน้าหรือเปล่า ?...
แล้วเรายังจะใจเย็นอยู่อย่างนี้ได้หรือเปล่า ?...
ตอนนี้เรื่องอะไรที่ควรสละได้ที่ควรเลิกละได้ พวกท่านควรกระทำก่อนหรือเปล่า ?...
แล้วอะไรที่เราควรจะเริ่มต้นทำขึ้นมาก่อน อะไรที่อยู่ใกล้ตัวเราที่สุด อะไรที่เราทำได้ง่าย แล้วอะไรที่เราขาดไม่ได้ ?...
เราพอตอบได้หรือเปล่า ?..
เรากระทำกันอยู่ทุกวันหยุดไม่ได้แม้สักมื้อเดียว...(กินเนื้อสัตว์) เราไม่ได้ชดใช้กรรมเก่า เราก็อย่าได้สร้างในกรรมใหม่...
ในการกินของพวกท่านลดละได้ในหนี้ชีวิตของคนอื่นก็เป็นการไม่สร้างกรรมใหม่...
แต่หากวัน ๆ เอาแต่กินชีวิตคนอื่น หนี้เก่าไม่ชดใช้ หนี้ใหม่ก็สร้างขึ้นมา แล้วเมื่อไหร่ท่านจะหลุดพ้นได้จริงๆ แล้วเมื่อไหร่ท่านจะมีบุญกุศล เราหวังแต่บุญไม่อยากได้บาป แต่สิ่งที่เราทำสอดคล้องกันหรือเปล่า เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเรื่องที่ทำอยู่ทุกวัน ปรับเปลี่ยนได้หรือเปล่า ?...
เมธีทุกท่านสิ่งที่เราเตือน สิ่งที่เราแนะนำไม่ใช่เป็นเรื่องยากหากอยากตัดกรรมเก่าไม่สร้างกรรมใหม่ก็ขอให้ตั้งใจทำ...
การทำร้ายเขาทั้งชีวิต ทุบหัวเขา ตัดขาเขา ควักไส้เขา ทรมานหรือเปล่า ถ้าเป็นเรา เราจะยอมหรือเปล่า ?...
หากเมธียังไม่ยอม แล้วพวกเขาจะยอมหรือเปล่า ความแค้นฝังลึก หากเราทำเขาย่อมจดจำได้ตลอด ทวงหนี้ไม่มีผิดเพี้ยน มีแต่เพิ่มไม่มีลด...
หวังว่าเราจะไม่เพิ่มหนี้กรรมให้กับตนเอง หากเราอยากจะบำเพ็ญจุดเริ่มต้นคือ "การกินเจ"...
หากทำได้เขาก็จะไม่ขัดขวางท่าน เขากลับจะส่งเสริมท่าน...
เราอยากให้เจ้ากรรมนายเวรส่งเสริมเราบำเพ็ญธรรมหรือ ขัดขวางไม่ให้เราบำเพ็ญธรรม ทุกอย่างอยู่ท่านเลือกเอง ให้เขาส่งเสริม เขาก็จะรอเอาบุญกุศลกับพวกท่าน แต่ถ้าท่านจะให้เขาขัดขวาง เขาก็คงจะเอาชีวิตของพวกท่านไป..
โอกาศอย่างนี้มันอยู่ใกล้ๆ ตัวท่านเอง เราอยากจะมีลมหายใจต่อไปเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล หรืออยากจะมีลมหายใจเพื่อให้เขามาทวงหนี้ ไม่รู้ว่าวันใด มาแบบไม่รู้ตัว...
สิ่งที่เรายึดติด สิ่งที่เรารัก เราก็ไม่ทันได้เอาไป ยังไม่ทันได้สั่งเสียเขาก็พรากเอาของเราไปแล้ว สิ่งที่สะสมมาทั้งชีวิตไม่เหลืออะไรแล้ว !...
หวังว่าเราอย่ารอให้เป็นอย่างนั้น เรามีสติในการดำรงชีวิตค่อยๆ ละ ค่อยๆ เลิก เพราะความตั้งใจของเรา ดีกว่าโดนฉุดดึงไปโดยไม่รู้ตัว...
หวังว่าเราจะยอมเปลี่ยนแปลง สิ่งที่พลาดที่ผิดไปแล้วเราขอขมาสำนึกแก้ไขเสียใหม่อย่าปล่อยเลยตามเลย...
แปรวิกฤติ..เป็นโอกาส
พระโอวาทพระพุทธจี้กง
ทุกๆคนมีเคราะห์ภัยซึ่งเกิดจาก "กรรม"
กรรมคือการกระทำ ถ้าทำดีก็เป็นคนที่มีเคราะห์ดี ทำไม่ดีก็เป็นคนที่เคราะห์ร้าย...
ศิษย์อยากเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดี ?... (เคราะห์ดี) แล้วเราส่งเคราะห์ดีให้ผู้อื่นหรือยัง ?...
เราต้องขยันส่งเคราะห์ดีไปให้ผู้อื่นถึงจะได้รับผลดีตอบ
ถ้าเราเปิดไฟให้คนอื่น เราก็สว่าง ถ้าเราไม่เปิดไฟให้คนอื่น เพราะเราตระหนี่ถี่เหนียว ก็ไม่มีใครได้รับความสว่าง...
เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น ผู้อื่นก็จะช่วยเราเป็นการไม่เอาเปรียบกัน เวลาช่วยผู้อื่นแล้วจำเป็นต้องได้รับผลดีตอบมาไหม ?... (ไม่จำเป็น) ถ้าเราช่วยเขา แต่เขาให้ร้ายเรา เราต้องรู้จักวางเฉย เพราะว่าที่เราให้ไป เราไม่ต้องการผลตอบแทน หากเราไม่ได้ผลตอบแทนแล้วเสียใจ แสดงว่าเราหวัง !...
ฉะนั้น จึงไม่ควรที่หวังอะไรเลย ความหวังนั้นมีไว้สำหรับหวังกับตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถหวังกับผู้อื่นได้ !...
บางคนวาดหวังไว้สวยงาม แต่ไปวาดให้กับคนอื่น พอเขาไม่ทำเราก็รู้สึกเสียใจ แล้วก็ต่อว่า และเปลี่ยนความวาดหวังอันนี้ให้กลายเป็น ความแค้น...แค้นต้องชำระ !...
ถ้ามัวแต่ชำระก็จะแค้นกันไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ ?...
การที่เจ้าได้รับเคราะห์ภัย อย่าหนี !.. เพราะยิ่งวิ่งหนีเคราะห์ก็ยิ่งวิ่งตาม หันหน้าไปสู้กับความจริง ยอมรับเคราะห์กรรมนั้นเข้ามาสู่ตน หมดแล้วจะได้หมดกัน ดีหรือไม่ ?...
เจ้าไปตีเขาไว้ ไม่ให้เขามาตีคืนได้หรือ ?...
ร่างกายเราแก่เฒ่าชราแล้ว จะห้ามไม่ให้ป่วยไข้ได้หรือ ?...
มีแต่สิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดคือ ก่อนที่เราจะเสียชีวิตทำทุกเวลาทุกนาทีให้มีคุณค่า...
หนึ่งวันที่เราสั่งสมความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ก็คือหนึ่งวันที่มีค่า สองวันที่เราสร้างความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ชีวิตเราก็มีค่า !...
หากว่าทุกวันไม่สร้างคุณงามความดีใดๆ เลย ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ ถึงแม้มีอายุอยู่ร้อยปี ก็เป็นร้อยปีที่ไม่มีค่า ใช่หรือไม่ ?...
เคราะห์ภัย ความทุกข์ยากต่างๆ ได้ทวีสูงขึ้น การทดสอบต่างๆ นานา วิ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญแล้ว...
แต่อย่าเข้าใจผิด บางสิ่งเป็นเคราะห์กรรมส่วนตัว อย่าเหมาว่าเป็นการทดสอบเสียหมด !...
หากว่าเจ้าเป็น คนจริง ศิษย์จะได้มีโอกาสเป็นพุทธะในวันข้างหน้า อย่าขอให้เคราะห์ร้ายเบา ยิ่งหนัก ยิ่งทวี ยิ่งทดสอบคนเท่าไร...ศิษย์จะเหลือกิเลสน้อยลง
ผู้เคราะห์ร้ายที่เข้ามาจะทำให้เรากลายเป็นพุทธะได้เร็วขึ้นถ้าศิษย์ทำได้ เป็นพุทธะเดินดินเหมือนอาจารย์ก็ดี มีชีวิตอยู่ แต่อยู่อย่างพุทธะ
หากว่ายังใช้ตาหูปากมาก ก็ไปพยายามบำเพ็ญหน่อยนะ...
ทุกๆคนมีเคราะห์ภัยซึ่งเกิดจาก "กรรม"
กรรมคือการกระทำ ถ้าทำดีก็เป็นคนที่มีเคราะห์ดี ทำไม่ดีก็เป็นคนที่เคราะห์ร้าย...
ศิษย์อยากเคราะห์ร้ายหรือเคราะห์ดี ?... (เคราะห์ดี) แล้วเราส่งเคราะห์ดีให้ผู้อื่นหรือยัง ?...
เราต้องขยันส่งเคราะห์ดีไปให้ผู้อื่นถึงจะได้รับผลดีตอบ
ถ้าเราเปิดไฟให้คนอื่น เราก็สว่าง ถ้าเราไม่เปิดไฟให้คนอื่น เพราะเราตระหนี่ถี่เหนียว ก็ไม่มีใครได้รับความสว่าง...
เมื่อเราช่วยเหลือผู้อื่น ผู้อื่นก็จะช่วยเราเป็นการไม่เอาเปรียบกัน เวลาช่วยผู้อื่นแล้วจำเป็นต้องได้รับผลดีตอบมาไหม ?... (ไม่จำเป็น) ถ้าเราช่วยเขา แต่เขาให้ร้ายเรา เราต้องรู้จักวางเฉย เพราะว่าที่เราให้ไป เราไม่ต้องการผลตอบแทน หากเราไม่ได้ผลตอบแทนแล้วเสียใจ แสดงว่าเราหวัง !...
ฉะนั้น จึงไม่ควรที่หวังอะไรเลย ความหวังนั้นมีไว้สำหรับหวังกับตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถหวังกับผู้อื่นได้ !...
บางคนวาดหวังไว้สวยงาม แต่ไปวาดให้กับคนอื่น พอเขาไม่ทำเราก็รู้สึกเสียใจ แล้วก็ต่อว่า และเปลี่ยนความวาดหวังอันนี้ให้กลายเป็น ความแค้น...แค้นต้องชำระ !...
ถ้ามัวแต่ชำระก็จะแค้นกันไม่จบไม่สิ้น ใช่หรือไม่ ?...
การที่เจ้าได้รับเคราะห์ภัย อย่าหนี !.. เพราะยิ่งวิ่งหนีเคราะห์ก็ยิ่งวิ่งตาม หันหน้าไปสู้กับความจริง ยอมรับเคราะห์กรรมนั้นเข้ามาสู่ตน หมดแล้วจะได้หมดกัน ดีหรือไม่ ?...
เจ้าไปตีเขาไว้ ไม่ให้เขามาตีคืนได้หรือ ?...
ร่างกายเราแก่เฒ่าชราแล้ว จะห้ามไม่ให้ป่วยไข้ได้หรือ ?...
มีแต่สิ่งเดียวที่มีค่าที่สุดคือ ก่อนที่เราจะเสียชีวิตทำทุกเวลาทุกนาทีให้มีคุณค่า...
หนึ่งวันที่เราสั่งสมความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ก็คือหนึ่งวันที่มีค่า สองวันที่เราสร้างความดีทำสิ่งที่มีประโยชน์ ชีวิตเราก็มีค่า !...
หากว่าทุกวันไม่สร้างคุณงามความดีใดๆ เลย ปล่อยชีวิตผ่านไปวันๆ ถึงแม้มีอายุอยู่ร้อยปี ก็เป็นร้อยปีที่ไม่มีค่า ใช่หรือไม่ ?...
เคราะห์ภัย ความทุกข์ยากต่างๆ ได้ทวีสูงขึ้น การทดสอบต่างๆ นานา วิ่งเข้าใส่ผู้บำเพ็ญแล้ว...
แต่อย่าเข้าใจผิด บางสิ่งเป็นเคราะห์กรรมส่วนตัว อย่าเหมาว่าเป็นการทดสอบเสียหมด !...
หากว่าเจ้าเป็น คนจริง ศิษย์จะได้มีโอกาสเป็นพุทธะในวันข้างหน้า อย่าขอให้เคราะห์ร้ายเบา ยิ่งหนัก ยิ่งทวี ยิ่งทดสอบคนเท่าไร...ศิษย์จะเหลือกิเลสน้อยลง
ผู้เคราะห์ร้ายที่เข้ามาจะทำให้เรากลายเป็นพุทธะได้เร็วขึ้นถ้าศิษย์ทำได้ เป็นพุทธะเดินดินเหมือนอาจารย์ก็ดี มีชีวิตอยู่ แต่อยู่อย่างพุทธะ
หากว่ายังใช้ตาหูปากมาก ก็ไปพยายามบำเพ็ญหน่อยนะ...
บาปกรรม
ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการทำตามกิเลสในใจ
เคราะห์กรรม
ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการพูดนินทาว่าร้าย
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554
ผนึกกำลัง...ทำดีต้านภัยพิบัติ
ชะตาของคนมาจากไหน ?...
ชะตาของคนมาจากชะตากรรม ใช่หรือไม่ ?...
หากชะตาคนไม่ดี คนในประเทศมีกี่ล้านคน ?..
แต่ละคนในที่นี้หากชะตาไม่ดี ในจังหวัดจะเป็นอย่างไร ?...
หาก 70 กว่าจังหวัดชะตาไม่ดีแล้ว ชะตาของประเทศจะเป็นอย่างไร ?...
ในโลกนี้มีประเทศตั้งมากมาย แต่ละประเทศก็ล้วนแต่ชะตาไม่ดี แล้วชะตาของโลกจะเป็นอย่างไร ?...
ในโลกใบนี้เราอาศัยอยู่ด้วยหรือเปล่า หากเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก นั่นแสดงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชะตาของโลกขึ้นหรือลง ใช่หรือไม่ ?...
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ?...
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนนั้นถึงแม้กายแยกกัน แต่จิตนั้นไม่เคยแยก...คนเราหากไม่มีร่างกาย ยังจะมีโอกาสสร้างบุญกุศลอีกหรือเปล่า ?...
อย่าลืมว่ากรรมนั้นแบ่งเป็นสองชนิดทั้ง "กรรมดี" "กรรมชั่ว" พวกเราสร้างบาปเวรกรรมไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจาใจ จะต้องระวังให้ดี หากวันนี้คนมาด่าเราทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราจะโกรธไหม ?...
วิญญาณอาฆาต ล่ะ !... พลังอาฆาตร้ายแรงมาก อาจจะไปสิงอยู่ที่ตัวใครก็ได้ หรืออาจมาสิงอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น พลังสว่างต้องชนะพลังมืด เข้าใจไหม ?...
ชะตาของประเทศสำคัญยิ่ง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในประเทศ หลายคนมักคิดถึงปัญหาของโลกใบนี้อยู่เสมอ แต่เวลาไม่แน่นอนเสมอไป บางครั้งในสิ่งที่เราคิดว่ามันใกล้เข้ามา มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา...หากเราคิดว่ามันไกล มันอาจจะใกล้ก็ได้
เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการรวมพลังกันทำความดี การที่ "มาเช้า" "มาทัน" "มาช้า" ความหมายต่างกันมาก...
"มาเช้า" เราอาจทำอะไรได้เยอะแยะ...
"มาทัน" เราอาจได้มาเพียงคนเดียว...
"มาช้า" เราอาจไม่ได้มาเลย !...
ชะตาของคนมาจากชะตากรรม ใช่หรือไม่ ?...
หากชะตาคนไม่ดี คนในประเทศมีกี่ล้านคน ?..
แต่ละคนในที่นี้หากชะตาไม่ดี ในจังหวัดจะเป็นอย่างไร ?...
หาก 70 กว่าจังหวัดชะตาไม่ดีแล้ว ชะตาของประเทศจะเป็นอย่างไร ?...
ในโลกนี้มีประเทศตั้งมากมาย แต่ละประเทศก็ล้วนแต่ชะตาไม่ดี แล้วชะตาของโลกจะเป็นอย่างไร ?...
ในโลกใบนี้เราอาศัยอยู่ด้วยหรือเปล่า หากเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก นั่นแสดงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชะตาของโลกขึ้นหรือลง ใช่หรือไม่ ?...
แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี ?...
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคนนั้นถึงแม้กายแยกกัน แต่จิตนั้นไม่เคยแยก...คนเราหากไม่มีร่างกาย ยังจะมีโอกาสสร้างบุญกุศลอีกหรือเปล่า ?...
อย่าลืมว่ากรรมนั้นแบ่งเป็นสองชนิดทั้ง "กรรมดี" "กรรมชั่ว" พวกเราสร้างบาปเวรกรรมไม่ว่าจะโดยทางกาย วาจาใจ จะต้องระวังให้ดี หากวันนี้คนมาด่าเราทั้งๆ ที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด เราจะโกรธไหม ?...
วิญญาณอาฆาต ล่ะ !... พลังอาฆาตร้ายแรงมาก อาจจะไปสิงอยู่ที่ตัวใครก็ได้ หรืออาจมาสิงอยู่ที่ตัวเรา เพราะฉะนั้น พลังสว่างต้องชนะพลังมืด เข้าใจไหม ?...
ชะตาของประเทศสำคัญยิ่ง เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในประเทศ หลายคนมักคิดถึงปัญหาของโลกใบนี้อยู่เสมอ แต่เวลาไม่แน่นอนเสมอไป บางครั้งในสิ่งที่เราคิดว่ามันใกล้เข้ามา มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา...หากเราคิดว่ามันไกล มันอาจจะใกล้ก็ได้
เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการรวมพลังกันทำความดี การที่ "มาเช้า" "มาทัน" "มาช้า" ความหมายต่างกันมาก...
"มาเช้า" เราอาจทำอะไรได้เยอะแยะ...
"มาทัน" เราอาจได้มาเพียงคนเดียว...
"มาช้า" เราอาจไม่ได้มาเลย !...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)